เมื่อมารร้ายไม่ได้อยู่แค่ในนิยาย แต่กลับซ่อนตัวอยู่ในรูปของอบายมุขรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งทำให้เด็กยุคใหม่ ต้องเผชิญหน้ากับปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้และอาจเผลอหลงกลได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่ออกแบบผลิตภัณฑ์มาเพื่อล่อตาล่อใจเด็ก เช่น เป็นตุ๊กตา “ทอยพอด” หรือล่าสุดที่มาในรูปลักษณ์เหมือนยาดม ที่เรียกกันว่า “พอดจมูก” รวมไปถึงการพนันบนโลกออนไลน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ และเมื่อเด็กเข้าสู่วงจรกับดักของสิ่งเสพติด และอบายมุขเหล่านี้แล้ว อาจนำมาซึ่งภาวะเครียด โดดเดี่ยว และมีปัญหาความสัมพันธ์ นำไปสู่โรคซึมเศร้า เจ็บป่วยทั้งทางกายและจิตใจตามมาได้
จะดีกว่าไหม? ถ้าเราเริ่มต้นเสริมภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้เขารับมือกับมารในใจ รวมถึงมารรอบตัว หรือมารรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และเมืองพัทยา มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน และเครือข่ายละครเพื่อการเรียนรู้ 5 ภูมิภาค จึงได้จัดเวทีสาธารณะ “เชื่อมพลังครู สานต่อวิถีเรียนรู้วิชาชนะมาร” ภายใต้โครงการพัฒนากระบวนการเรียนรู้วิชาชนะมาร สำหรับนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย และมัธยมศึกษาตอนต้น ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนโครงการ “ชนะมาร” เสริมภูมิคุ้มกัน จุดประกายความคิด รู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงรอบตัวเด็กยุคใหม่ สร้างพื้นที่เรียนรู้ที่มีชีวิต ผ่านพลังของละครสร้างสรรค์ เพื่อให้โรงเรียน ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ร่วมกันปลดพันธนาการจากกับดักมารร้าย บุหรี่ไฟฟ้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพนันออนไลน์ เปลี่ยนความเปราะบางให้กลายเป็นพลังแห่งการเติบโตอย่างมีสุขภาวะที่ดี
สสส.-สพฐ. ร่วมกับภาคีเครือข่าย หนุน “โครงการชนะมาร” ต่อเนื่องปีที่ 2
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวถึงโครงการพัฒนาการเรียนรู้วิชา “ชนะมาร” ที่ทาง สสส.และภาคีเครือข่ายได้สนับสนุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ว่า สสส. สนับสนุนโครงการ “ชนะมาร” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นำกระบวนการเรียนรู้ผ่านศาสตร์และศิลป์ของ “ละครเพื่อการเรียนรู้” ร่วมกับการพัฒนา “คู่มือครูชนะมาร” เป็นแนวทางให้ครูนำไปสร้างภูมิรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงให้กับนักเรียน ผ่านการจำลองสถานการณ์ ฝึกคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหา มุ่งส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาวะ ให้เกิดสุขภาวะที่ดีจากภายใน
“โครงการ ‘ชนะมาร’ มีจุดเริ่มต้นมาจากภาคีเครือข่ายของ สสส. มูลนิธิรณรงค์เพื่อการหยุดพนันได้ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชนต่าง ๆ เชิญชวนโรงเรียนเข้ามาเพื่อจะรณรงค์ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้แนวใหม่สำหรับเด็กนักเรียนเพื่อจะสามารถสื่อสารให้เด็กเข้าใจถึงภัยรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ และพนัน โดยใช้ศาสตร์และศิลป์ของการละครเพื่อการเรียนรู้ ทำให้เด็ก ๆ เข้าใจและเข้าถึงภัยที่เกิดจากมารทั้ง 3 นั่นก็คือ เหล้า บุหรี่ และการพนัน”
สัญญาณอันตราย! เปิดผลสำรวจชี้ เยาวชนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่า
ดื่มเหล้ากว่า 33.06% เล่นพนันออนไลน์ 32.3%
เฉลี่ยเดือน 1,633 บาท คิดเป็นเงินที่ถูกล่อลวงถึง 58,675 ล้านบาท
นพ.พงศ์เทพ ได้ให้ข้อมูลว่า ในปี 2567 มีเยาวชนสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่า ส่วนหนึ่งมาจากกลลุทธ์การตลาดแบบล่าเหยื่อ ที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ล่อใจเด็ก เช่น เป็นตุ๊กตา “ทอยพอด” หรือล่าสุดก็ทำมาในรูปลักษณ์เหมือนยาดม ที่เรียกกันว่า “พอดจมูก” เด็ก ๆ หารู้ไม่ว่า ในบุหรี่ไฟฟ้า 1 แท่ง มีนิโคตินเข้มข้นและอันตรายมากเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 20 มวน
ส่วนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กเยาวชน พบว่า 33.06% มีการดื่มแล้วขับ นำมาสู่การเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ขณะที่พนันออนไลน์ก็แพร่ระบาดมาถึงตัวเด็ก ผลสำรวจ 2 ปีก่อนหน้านี้ พบว่า 32.3% ของเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่เล่นการพนันออนไลน์ เฉลี่ยคนละ 1,633 บาทต่อเดือน คิดเป็นเงินที่ถูกล่อลวงถึง 58,675 ล้านบาท
โดย นพ.พงศ์เทพ ได้ให้ข้อมูลเสริมว่า คำว่า ‘มาร’ มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี คำว่า ‘มรฺ’ แปลว่าความตาย ผู้ทำให้ถึงซึ่งความตาย ซึ่งการที่มีมารมาผจญ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ การพนัน ทำให้ถึงความตายทั้งสิ้น
แล้วทำไม 3 สิ่งนี้ถึงโจมตีเด็ก? ในทางการแพทย์ทั้ง 3 สิ่ง (เหล้า บุหรี่ พนัน) เรียกว่าเป็นสารที่ส่งเสริมให้เกิดความสุข ซึ่งความสุขเป็นเหยื่อล่อที่ทำให้คนทำสิ่งนั้นซ้ำ ๆ จะสังเกตว่าเด็ก ๆ อยากได้ความสุข จากพ่อแม่ จากคุณครู จากคนรอบข้าง จากคำชม จากความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่เด็กที่เป็นเหยื่อของมารคือเด็กที่โหยหาความสุข
“สังคมเรามักจัดลำดับชั้นของเด็ก เด็กคนนี้เรียนดี เรียนเก่ง พูดดี พูดเพราะ เราก็จับอยู่ในคลาสดีเลิศ แล้วเราก็มีคลาสปานกลาง และคลาสที่ไม่ดี ซึ่งคลาสที่ไม่ดีก็จะโดนกระหน่ำทั้งจากคุณครู จากพ่อแม่ ที่จะพูดใส่เขาว่า ‘เธอไม่ดี’ เขาเหล่านี้จะไม่ได้รับความสุข เขาจะโหยหาความสุข แล้วเขาจะถูกมารล่อลวงไปให้เกิดความสุข ที่เรียกว่าความสุขเทียม ก็คือความสุขจากสารเสพติดและการพนันนี่แหละครับ หรือการเฮฮากับเพื่อนที่ชวนกันไปเพราะรู้สึกว่าต่อให้เรียนยังไงก็ไม่ดี ต่อให้ทำดียังไงพ่อแม่ก็ไม่รัก ครูก็ไม่รัก ดังนั้นกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่เป็นเหยื่อของมารเป็นหลัก ซึ่งเราจะทำอย่างไรที่จะช่วยเด็ก คงไม่ใช่เชิงลบอย่างเดียวมันต้องมีเชิงบวกด้วย”ปลูกวัคซีนตั้งแต่ปฐมวัย เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันทางใจให้กับเด็ก
เพราะช่วงปฐมวัย (0-6 ปี) เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้และจดจำ การสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ตอนนี้จะทำให้สร้างจิตใต้สำนึกของเด็กได้
“เราจำเป็นจะต้องปลูกวัคซีน เข็มที่ 1 ตั้งแต่ปฐมวัย ผมมีความเชื่อว่าการสร้างจิตใต้สำนึกจะสร้างได้ตอนอายุน้อยกว่า 6 ขวบ อาจจะใช้นิทาน ใช้เกม ใช้กระบวนการต่าง ๆ ให้เขาเรียนรู้ เพราะวัยนี้เป็นวัยที่สร้างจิตใต้สำนึกได้ง่ายและฝังง่าย เป็นวัยที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากเรา ธรรมชาติจะให้เขาเปิดรับสิ่งต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้ ยกตัวอย่าง ผมลองเอาลูกขึ้นรถใส่ที่นั่งคาร์ซีทคาดเข็มขัดนิรภัยเขาร้องไห้นะครับ แต่ผมก็ไม่ยอม พอโตขึ้น ขึ้นรถเขาคาดเข็มขัดเร็วกว่าผมอีก ทำโดยไม่ต้องใช้สมองแต่เป็นจิตใต้สำนึก ดังนั้นมนุษย์เราทำหลาย ๆ อย่างเพราะจิตใต้สำนึกครับ”
“ส่วนวัยประถมศึกษา มัธยมศึกษา จำเป็นจะต้องปลูกวัคซีนเข็มที่ 2 เข็มที่ 3 ซึ่งคือกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การใช้ละครให้เด็กไปศึกษา แล้วเด็กสามารถแสดงออก ซึ่งจะฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกของเด็ก จะทำให้เด็กเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมด้วยตัวเอง ให้เขาได้เจอประสบการณ์แล้วก็ได้เรียนรู้จากการจินตนาการ การเล่นละคร ได้มีความหลากหลาย ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดและมีภูมิต้านทาน ถ้ามีใครมาชวนเขาให้สูบบุหรี่ กินเหล้า หรือเล่นพนันออนไลน์ เขาจะมีภูมิคุ้มกัน ไม่ไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ดีที่ล่อลวงให้เขาถึงแก่ความตาย ถ้าเราฉีดวัคซีนจนครบจะทำให้เขาสามารถชนะมารแล้วก็มีความสุขที่แท้ ความสุขจากการที่อยู่ในสังคม ได้รับความชื่นชม พอใจในตัวเอง มีคุณค่าในตัวเอง และเขาจะเป็นคนดีของสังคมได้ในระยะยาว”
ชนะมาร Talk : เสียงสะท้อนจากคนทำงานจริง
5 เครือข่ายละครเพื่อการเรียนรู้
นำศาสตร์และศิลป์การละคร ร่วมสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กไทยรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง
จากการดำเนินงานมา สสส. และภาคีเครือข่ายยังได้จับมือร่วมกับเครือข่ายสร้างการเรียนรู้ 5 พื้นที่ ได้แก่ กลุ่มไม้ขีดไฟ จ.นครราชสีมา, กลุ่มละครสองเล จ.สงขลา, สำนักกิจกรรมกิ่งก้านใบ จ.อุตรดิตถ์, ทีมเฉพาะกิจเธียเตอร์ กรุงเทพมหานคร, และกลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ จ.ชลบุรี นำศาสตร์เครื่องมือของละครสร้างสรรค์หรือ Creative Drama มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างกระบวนการการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชน
นายทวีวัฒน์ กำเนิดเพ็ชร์ จากกลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ จ.ชลบุรี ได้กล่าวว่า “ชนะมาร” คือวิชาสำคัญของคนยุคใหม่ ที่ใช้ละครเพื่อการเรียนรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง เป็นเครื่องมือสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ โดยละครของบางเพลย์ผสม 3 หลักคิดสำคัญ ได้แก่ Active Learning, EF (Executive Function) และ Health Literacy ให้เด็กคิดและลงมือทำ จนเกิดการเรียนรู้จริง
“ชนะมารไม่ใช่แค่คำพูดลอย ๆ แต่เป็นวิชาหนึ่ง พวกเราเชื่อว่าเป็นวิชาที่จำเป็นที่สุดที่สร้างคนรุ่นใหม่ให้รอดพ้นจากภัยคุกคามแห่งยุคสมัยที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว เชื่อไหมครับว่า ห้องเรียนไม่ได้มีแค่เด็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังมีมารร้ายที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ด้วย และทุกวันนี้โลกก็เต็มไปด้วยมารที่มองไม่เห็นเหล่านี้ ธุรกิจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ใช้วิชามารในการล่าเหยื่อ พวกเขาไม่ได้ขายแต่สินค้าแต่ขายภาพลวงตา ความเท่ ความสุขชั่วคราว และการรวยทางลัด เมื่อปัจจัยดึงดูดเหล่านี้ผสานกับแรงผลักดันภายในตัวเด็กที่อยากรู้ อยากลอง ต้องการเป็นที่ยอมรับ แต่ยังขาดวุฒิภาวะในการยับยั้งชั่งใจ มันจึงกลายเป็นพายุที่พร้อมจะพัดพาอนาคตของพวกเขาไป แล้วเราจะสู้กับความเสี่ยงที่มองไม่เห็นเหล่านี้ได้อย่างไร? การให้ความรู้แบบเดิม ๆ ที่บอกแค่ว่ามันไม่ดี คงไม่ใช่แล้ว ชนะมารไม่ได้มุ่งเน้นแค่การสอนให้รู้ว่าปัจจัยเสี่ยงคืออะไรแต่เป้าหมายหลักของเราคือการฉีดวัคซีนภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในอย่างถาวร”
“กลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ ได้สร้างสรรค์ชุดกระบวนการละครสัญจรเพื่อการเรียนรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง เรื่อง “ใจฟู ชูใจกับเมืองติดหนึบ” ด้วยฐานคิดข้างต้น ละครเรื่องนี้มีตัวละครอย่างใจฟู และ ชูใจ พาไปรู้จักกับเมืองที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงโดยมีมารร้ายคือ มึนมึน (พนัน) เมาเมา (เหล้า) และมัวมัว (บุหรี่ไฟฟ้า) เป็นตัวแทนปัจจัยเสี่ยงที่ชักชวนเด็กให้เผชิญกับความอยากได้ ความสนุก ความเท่ โดยใจฟูจะเป็นผู้มีประสบการณ์ตรงที่เคยพลาดมาก่อนแต่กลับตัวออกมาได้ ส่วนชูใจเป็นตัวแทนของความอ่อนไหว ตัวแทนของวัยที่มีความอยากรู้อยากลอง เราสร้างกระบวนการการเรียนรู้ผ่านละคร ใช้ภาษาของละคร ดึงเด็ก ๆ ให้เข้าสู่สถานการณ์จำลอง แต่แทนที่จะปล่อยให้ละครดำเนินเรื่องไปจนจบ เราหยุดละครไว้กลางคัน เพื่อให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมในละครตั้งแต่ต้น ได้คิด ได้ลงมือแก้ปัญหา ได้เผชิญเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในละคร เราไม่ได้ขอให้เด็กแค่ตอบคำถาม แต่เราขอให้พวกเขาลงมือทำ แก้ปัญหาร่วมกัน และแก้ปัญหาด้วยตัวของตัวเอง”
“ผมขอเชิญชวนคุณครูทุกท่านมาเป็นผู้ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันแห่งความหวังนี้ให้กับนักเรียนของท่านและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างนักเรียนให้เป็นผู้รอดไม่ใช่เหยื่อ”
ด้านนายสมบัติ แก้วเนื้ออ่อน จากกลุ่มละครสองเล จ.สงขลา กล่าวถึงความสำคัญของละครเพื่อการเรียนรู้ว่า คือกระจกสะท้อนความรู้สึก ความคิด และความเข้าใจชีวิต การเรียนรู้ผ่านละครไม่ใช่แค่การดู แต่คือการมีส่วนร่วม ทั้งในฐานะผู้แสดงและผู้ชม
“ละครทำให้เกิดความรู้สึกและความคิด จากฉากสั้น ๆ เล็ก ๆ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกและความคิดมากมายได้ แต่ว่าการจะแสดงหรือทำละครให้ดีสักเรื่องหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีทั้งโครงเรื่อง มีตัวละคร มีภาษา มีเสียง และมีความคิด ละครของชนะมาร คือละครเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งจะเน้นสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดกับตัวผู้ชม ซึ่งอาจจะใช้เทคนิกต่าง ๆ มาร่วมด้วย โดยจุดร่วมที่เรามาถอดกระบวนการเรียนรู้จะพบว่า ไม่ได้เขียนบทขึ้นมาลอย ๆ ทั้งหมดทั้งมวลจะเกิดจากการมีส่วนร่วมของนักแสดง ร่วมกับผู้กำกับและผู้สร้างสรรค์ละครนั้น ๆ ออกมาเป็นบทละคร นอกจากนักแสดงต้องเข้าใจทีมที่มาเล่นด้วยกันแล้ว ยังรู้จักเข้าใจประเด็นที่จะสื่อสารอย่างรอบด้าน นอกจากนี้หัวใจหลักคือนักแสดงจะต้องเข้าใจตัวผู้ชมว่าเป็นอย่างไร วัยไหน มีลักษณะอย่างไร เพื่อที่จะได้ออกแบบละครให้ตรงกับเขา เขาดูแล้วจะได้เข้าใจจริง ๆ เป็นผู้รับสารนั้นได้”
“ละครเป็นสิ่งที่มีพลังมาก เพราะเป็นการสื่อสารระหว่างมนุษย์ถึงมนุษย์ด้วยกันเอง แล้วไม่ได้สื่อสารแค่ให้ข้อมูล แต่มันมีความรู้สึกไปกับข้อมูลนั้นด้วย นอกจากนี้ผู้ชมก็จะเกิดกระบวนการการทำงานภายในตัวเองทั้งฐานหัวที่เกิดความคิดขึ้น ฐานใจที่เป็นความรู้สึก และฐานกายที่เป็นร่างกายของเราผสานกันระหว่างชมละคร ถ้าเราสร้างละครหรือกระบวนการเรียนรู้หรือกระบวนการสอนให้ดีสักเรื่อง สักชิ้น ส่งต่อไปยังผู้ชมหรือเด็กของเราได้ เด็กก็จะรับรู้สิ่งนั้นได้ แล้วจะส่งต่อไปได้เหมือนกัน”
ขณะที่นายศรัทธา ปลื้มสูงเนิน จากกลุ่มไม้ขีดไฟ จ.นครราชสีมา มองว่า เด็กต้อง “เล่น” ปน “เรียน” จึงจะ “ชนะมาร” เพราะ “การเล่น” คือธรรมชาติที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ไม่มีใครโตมาโดยไม่ผ่านการเล่น การเล่นคือพื้นที่เรียนรู้ชีวิต กลุ่มไม้ขีดไฟทำงานกับเด็กมากว่า 30 ปี พบว่าเด็กยุคนี้ต้องการ การเล่นที่มีความเสี่ยงอย่างปลอดภัย เพื่อเรียนรู้การควบคุมใจและตัดสินใจด้วยตัวเอง ซึ่งเด็กที่ได้ “เล่นอิสระ” จะเข้าใจอารมณ์ของตนเอง ฉลาดรู้ เท่าทันสิ่งยั่วยุ และเติบโตอย่างแข็งแรง
“ผมมองว่าการเล่นเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์เติบโตมาเป็นเราในวันนี้ เราไม่ได้อยู่ ๆ มาเป็นเรา แต่เราทำสิ่งซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นนิสัย สิ่งที่กลุ่มไม้ขีดไฟทำคือ เราชวนเด็ก ๆ เล่น การเล่นมันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติประทานมาให้ทุกคน ถ้าเรายอมให้เด็ก ๆ เล่นเสี่ยงแล้วเท่าทันใจตนเอง ฉลาดรู้ว่าสนุกแล้วหยุดได้ สนุกแล้วอยากเอาชนะอารมณ์ที่เกิดขึ้น เปิดเวทีที่เป็นมิตรให้เด็ก ๆ เขาจะกล้าเล่าให้ฟังว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร ถ้าเขากระโดดเข้าไปในจุดเสี่ยง เขาจะหยุดตัวเองได้อย่างไร ควบคุมเป้าหมายตัวเองได้อย่างไร โดยมารเหล่านี้จะเป็นแค่ขนมในชีวิต อยากเชิญชวนทุกท่านชวนลูก ๆ หลาน ๆ ของเราลุกขึ้นมาเล่น เล่นเพื่อเท่าทันตัวเอง เล่นเพื่อให้เกิดความฉลาดรู้ เล่นเพื่อรับมือกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นกันครับ”
ด้าน นายทองแสง ไชยแก้ว จากสำนักกิจกรรมกิ่งก้านใบ จ.อุตรดิตถ์ ได้ให้ความเห็นว่า เด็กจำนวนมากไม่ได้ใช้ยาเสพติดเพราะไม่รู้ว่ามันอันตราย แต่เพราะ “เขาโดดเดี่ยว” และ “ไม่มีพื้นที่ปลอดภัย” ทางสำนักกิจกรรมกิ่งก้านใบจึงได้สร้าง “พื้นที่เรียนรู้พลังบวก” ที่เชื่อมความสัมพันธ์ (Relationship) เสริมพลัง (Empower) และเปลี่ยนแปลง (Change)
“เราเชื่อว่าพื้นที่ปลอดภัย คือพื้นที่บ่มเพาะความสัมพันธ์ ไม่ได้สัมพันธ์กับใครแต่คือการชวนให้เขากลับมามีความสัมพันธ์กับตัวเอง ให้เขาได้เห็นว่าตัวเขาเอง มีคุณค่า มีพลัง และมากพอที่จะให้เขาเติบโตไปเป็นอย่างอื่นได้ เด็กพลังบวก คือเด็กที่เราใฝ่ฝันว่าเขาจะชนะมารได้ เขาจะเข้าไปในมารแล้วออกจากมารมาได้ เขาจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับมาร เขาจะเจอพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่เรียนรู้ พื้นที่พลังบวกทำหน้าที่และมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ 1. Relationship เราต้องทำให้เขาเชื่อมความสัมพันธ์กับตัวเองให้ได้ เชื่อมความสัมพันธ์กับผู้อื่นให้ได้ และกลับไปคืนความสัมพันธ์กับครอบครัวกับชุมชนให้ได้ 2. Empower เสริมพลัง ทำให้เขามั่นใจเห็นคุณค่าในตัวเองให้ได้ และ 3. Change ชี้ให้เขาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเขานั้นมีอะไรอยู่บ้าง”
“ผมคิดว่าพื้นที่เรียนรู้ พื้นที่พลังบวกที่พวกเราทำงานอยู่ มันคือคำตอบเรื่องนี้ครับ ว่าหากเราอยากจะชวนให้เด็ก ๆ สะสมพลังบวก เราต้องสร้างพื้นที่เรียนรู้ เราต้องมีพื้นที่ปลอดภัยมากพอที่จะให้เด็ก ๆ ได้มีพื้นที่เติบโต”
นายสุกฤต อ่องชาติ และ นางสาวบุปผชาติ ตรีพล จากทีมเฉพาะกิจเธียร์เตอร์ กรุงเทพมหานคร ได้กล่าวถึงหัวใจของ “ชนะมาร” ว่า คือ Resilience หรือ ความเข้มแข็งทางใจ โดยเด็กที่มี I AM (รู้ว่าตัวเองคือใคร), I HAVE (รู้ว่ามีใครอยู่เคียงข้าง), และ I CAN (เชื่อในศักยภาพตนเอง) จะไม่ตกเป็นเหยื่อของมาร
“ปัจจุบันเด็ก ๆ เติบโตมากับโลกที่ซับซ้อนมาก ๆ และซับซ้อนขึ้นทุกวินาที กระพริบตาเดียวมีนวัตกรรมอะไรหลาย ๆ อย่างมาไวมาก เขาต้องเผชิญหลายอย่าง มันไม่ใช่แค่ความรัก ความสัมพันธ์ เพื่อน หรืออนาคตของเขา แต่ว่าตอนนี้มีปัจจัยเสี่ยงเยอะมากที่มายั่วยุ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ การพนัน ยาเสพติด สิ่งเหล่านี้เขาพยายามยั่วยุให้เด็กได้ลอง เขารู้สึกว่าเท่ สิ่งสำคัญก็คือยั่วยุให้เด็ก ๆ จะต้องโตเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าที่เขาจะเป็น”
“RESILIENCE หรือความเข้มแข็งทางใจ เป็นหัวใจสำคัญ เป็นตัวแปรหนึ่งทางจิตวิทยา ที่มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ I AM การที่เด็ก ๆ รับรู้ว่าตนเองเป็นใคร I HAVE คือการที่เขารับรู้ว่ามีคนอยู่คอยเคียงข้างเขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู เพื่อน หรือแม้แต่กระทั่งระบบที่คอยสนับสนุนเกื้อกูลเขา และ I CAN เขาเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองว่าเขาจะสามารถจะเผชิญกับปัญหาและแก้ไขปัญหานั้นได้ ซึ่งถ้าเขามี 3 สิ่งนี้ เขาจะไม่ล้มหายตายจากไปกับมารเลย แต่เขาจะสามารถกำหนดชีวิตของตนเอง เขาจะไม่ยอมให้เหล้า บุหรี่ และการพนันมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของเขา”
“พลังแห่งการเล่น พลังแห่งพลังบวก พลังแห่งละคร และพลังแห่ง RESILIENCE หรือความเข้มแข็งทางใจ เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ภายใต้พลังนั้นเกิดจากความเชื่อ เราเชื่อในความเป็นมนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนพร้อมที่จะเติบโต อยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง อยากเข้าใจตัวเอง และอยากไปสู่ทิศทางที่ดีกว่า ซึ่งหน้าที่เรามีอย่างเดียวคือ เป็นผู้ที่คอยจุดไฟมนุษย์ในตัวเขาให้ไม่มอดดับท่ามกลางมาร พอเขารับรู้ก็จะเกิดแสงในใจขึ้น แสงนั้นจะรวมกันกลายเป็นแสงที่ใหญ่และอบอุ่น ทำให้โลกนี้น่าอยู่ สุดท้ายนี้การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มต้นที่การสั่งสอน แต่เริ่มจากการที่เราทุกคนมองเห็นคุณค่าในตัวเด็ก แล้วเขาจะเห็นคุณค่าในตัวเรา และนี่คือชัยชนะที่แท้จริง”
มุมมองจากครู นักเรียน และผู้ปกครอง จากการเข้าร่วมโครงการชนะมาร
คุณชินินนาถ แก้วดีเลิศ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อทรัพย์ ได้กล่าวถึงการเข้าร่วมโครงการชนะมารว่า ได้เห็นกลุ่มละครสองเล จ.สงขลา เร่เข้ามาเล่นละครในโรงเรียน เด็กนั่งมอง ทุกคนเหมือนได้เข้าไปอยู่ในละคร เด็กสามารถแลกเปลี่ยน ตอบคำถามได้ ต่างจากที่ครูเคยอบรมเด็กกลับตอบคำถามไม่ได้เลย จึงเกิดความคิดว่าอยากจะทำละครบ้าง
“วันที่กลุ่มละครสองเล จ.สงขลา มาเล่นละครในโรงเรียน เขาใช้บทบาทแสดง แล้วเด็กเรากลับนั่งมอง ทุกคนเหมือนได้เข้าไปอยู่ในละคร เขาได้แลกเปลี่ยนกัน ถามคำถามเด็กตอบได้ ต่างจากที่เราสอนตั้งนานเป็นชั่วโมง เด็กตอบอะไรไม่ได้เลย”
“ผอ. อยากทำละคร จึงเริ่มจากเขียนบทเอง โดยได้โจทย์จากทาง สสส. ว่าอยากให้เรื่องเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า พนันออนไลน์ และเหล้า ซึ่งตอนหานักแสดงนักเรียนให้การตอบรับดีมาก เราถามนักเรียนว่าใครอยากเป็นนักแสดงบ้าง ไปถามห้องป.5 เขายกมือทั้งห้องเลย ซึ่งปีนี้ ผอ.คิดว่าจะให้นักเรียนเขียนบทเอง เราจะได้เห็นข้อมูลจริงผสมกับจินตนาการของเด็ก โดยเราจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน”
ด.ญ.อาภัสรา อินทรัตน์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ่อทรัพย์ ตัวแทนเครือข่ายครูและนักเรียนชนะมาร หนึ่งในนักแสดง ได้กล่าวว่า ตนดีใจที่ได้เป็นนักแสดง ซึ่งเธอบอกว่าการได้มาแสดงละครเองมันต่างไปจากที่ครูสอน ทำให้เธอเข้าใจและจดจำได้ว่า เหล้า บุหรี่ การพนันไม่ดีอย่างไร ถ้ามีให้แสดงละครอีก ก็อยากเล่นอีก
โดยเธอพูดทิ้งท้ายไว้สั้น ๆ ว่า “หนูก็เป็นเด็กรุ่นใหม่ หนูก็อยากจะชนะมารไปให้ได้ค่ะ”
ด้าน คุณแม่ นัฏศจี ทองเหลี่ยม ตัวแทนเครือข่ายผู้ปกครอง ได้แสดงความคิดเห็นว่า ปัจจุบันเด็กถูกล่อหลอกเข้าหาอบายมุขต่าง ๆ ง่ายมาก เมื่อพ่อแม่รู้ ก็มักจะเครียด เสียใจ และโมโหมาก อยากจะระเบิดอารมณ์ใส่ลูก พ่อแม่ยุคนี้จึงต้องการพื้นที่เรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารพลังบวก มีสติ ทบทวนอารมณ์ความรู้สึกตนเอง และหาวิธีพูดคุยแบบเปิดใจกับลูก ใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กันและกัน ดูแลกันจนลูกสามารถห่างจากปัจจัยเสี่ยงได้ในที่สุด
โดยคุณแม่นัฏ ยังได้เล่าประสบการณ์จริงของตนเองด้วยว่า ได้พบบุหรี่ไฟฟ้าในห้องของลูก ทั้งที่ในบ้านไม่มีใครสูบบุหรี่เลย ด้วยความตกใจและความโกรธเลยเกือบทำให้เธอสูญเสียความสัมพันธ์กับลูก แต่เมื่อตั้งสติได้ และมีโอกาสเข้าไปสู่เครือข่ายพ่อแม่ที่มีประสบการณ์ ได้แลกเปลี่ยนพูดคุย จึงเลือกใช้การฟังและการพูดกับลูกด้วยใจ แทนการตัดสิน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจใหม่
“แม่รู้จักกับโครงการชนะมาร ของสสส. ที่สร้างการเรียนรู้ผ่านเครื่องมือละคร ช่วยต่อยอดให้เด็กได้นำมาคิดวิเคราะห์เรียนรู้ แล้วบอกต่อเรื่องราว เด็กจะมีคุณค่าในตนเอง ขณะเดียวกันผู้ปกครองก็จะเห็นคุณค่าในตัวลูกด้วยเช่นกัน แม่ดีใจมากที่มีวิชาชนะมาร ที่สามารถเข้าถึงลูก ๆ ได้ เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เพราะโลกโซเชียลมันใกล้ตัวลูกเรามาก ๆ วิชาชนะมาร ไม่ใช่วิชา แต่เป็นกระบวนการปลูกใจ ทำให้เด็กได้เรียนรู้ เติบโต ตัดสินใจ และเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเขาเอง แม่เชื่อว่า หากทุกโรงเรียนเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับตนเองมากขึ้น เด็ก ๆ จะเติบโตอย่างมีภูมิคุ้มกันทางใจและชนะมารไปด้วยกัน”
‘วิชาชนะมาร’ สอดคล้องกับ นโยบาย “เรียนดี มีสุข” กระทรวงศึกษาธิการ
นายณรงค์ศักดิ์ โพธิ์อ่อง รองผู้อำนวยการบริหารความสุขและความปลอดภัย สพฐ. ได้กล่าวถึงวิชาชนะมารว่า กระบวนการเรียนรู้วิชาชนะมารสอดคล้องกับนโยบาย “เรียนดี มีสุข” ของกระทรวงศึกษาธิการ มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มีเครือข่ายกลไกดูแลเยียวยา ปกป้องอย่างเข้มแข็ง และมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันให้นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาเท่าทันปัจจัยเสี่ยง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ด้วยการขับเคลื่อนผ่านมาตรการ 3 ป. คือ 1.ป้องกัน ไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่ปลอดภัย 2.ปลูกฝัง เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ จิตสำนึก ประสบการณ์ที่ดีให้เกิดเป็นทักษะชีวิต 3.ปราบปราม จัดการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือเยียวยา ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ และส่งต่อด้านกฎหมาย เพื่อให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพ มีสุขภาวะที่ดี และสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างยั่งยืน
“สพฐ.เห็นความสำคัญของความปลอดภัยมาเป็นอันดับต้น ๆ คู่กับการเรียนการสอน เพราะเราเชื่อว่าเด็กถ้าไม่มีความปลอดภัยการเรียนการสอนก็จะไม่ประสบความสำเร็จ วิชาชนะมารตอนนี้ ผมคิดว่ามาเชื่อมโยงแล้วครับ ตอนนี้เราขับเคลื่อนหลายโครงการ หลายกิจกรรมที่เป็นลักษณะเดียวกัน เรามีโรงเรียนสีขาวโดยกระทรวงศึกษาธิการ เราขับเคลื่อนโรงเรียนส่งเสริมความปลอดภัย”
“วิชาชนะมารเป็นโครงการที่ดี และเป็นไปตามนโยบายของเราที่ขับเคลื่อนกันอยู่แล้ว ผมเชื่อว่ากระบวนการวิชาชนะมารจะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับนักเรียนเราได้ ตอนนี้เราขับเคลื่อนคุณครูอนุบาลทั้งหมด 60,000 คน มาอบรม 9 ทักษะพื้นฐาน EF (Executive Functions) ปีนี้เราจะส่งต่อไปที่ครูประถม เราจะส่งต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเราเชื่อว่าแค่อนุบาลภูมิคุ้มกันจะไม่ยั่งยืน ต้องเสริมต่อไปประถม มัธยมด้วย เด็กที่อยู่ใน สพฐ.ของเรา เราเชื่อว่าถ้าเราดูแลเขาเต็มที่ สอนเขาเต็มที่ เขาจะเป็นคนที่มีคุณภาพทั้งวิชาการ รวมถึงร่างกายและจิตใจ”
‘วิชาชนะมาร’ เครื่องมือการเรียนรู้ที่เน้น Active Learning
ด้าน ดร.สมเดียว เกตุอินทร์ รองศึกษาธิการอุตรดิตถ์ กล่าวว่า โครงการชนะมารเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่เน้น Active Learning ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในรูปแบบของละครสร้างสรรค์ โดยสำนักกิจกรรรมกิ่งก้านใบ จ.อุตรดิตถ์ ควบคู่กับกระบวนการเรียนรู้หลังชมละครที่ถูกออกแบบมาให้เป็นการตั้งคำถาม ชวนคิด ชวนคุยเพื่อสร้างภูมิรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง จัดว่าเป็นการเรียนรู้ที่มีชีวิตไม่ใช่เพียงการมาจัดบอร์ดนิทรรศการหรือการจดบันทึกวิชาการในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว การได้มาทำงานร่วมกับโครงการชนะมาร ช่วยยืนยันว่าเครือข่ายโรงเรียนและครู เราไม่ได้เดินเพียงลำพังคนเดียว เรายังมีเพื่อน มีเครือข่ายสร้างการเรียนรู้ ที่ค่อยช่วยซัพพอร์ตกันและกันเพื่อดูแล ปกป้องเด็กเยาวชนให้ปลอดภัยจากสิ่งเสพติด และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
“ต้องบอกว่าละครของทางสำนักกิจกรรรมกิ่งก้านใบ จ.อุตรดิตถ์ ตรงกับการเรียนรู้แบบ Active Learning มันคือเครื่องมือที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่การที่มีนักแสดงฝ่ายเดียวแล้วสื่อสารทางเดียว แต่ผู้ชมมีบทบาทมีส่วนร่วม เป็นการสื่อสารสองทาง ที่สำคัญสิ่งที่เป็นเสน่ห์ คือการใช้คำถาม ผมคิดว่าเป็นหัวใจเลยทีเดียว ซึ่งนักแสดงและผู้จัดละครใช้คำถามเพื่อเชื่อมโยงถึงประสบการณ์เดิมของผู้เรียน เขาเคยมีส่วนร่วม เคยพบเคยเห็นอะไรแบบนี้หรือเปล่า แล้วอนาคตเขาจะประยุกต์ใช้อย่างไร เขาจะตัดสินใจอย่างไร ทางเลือกจะเป็นอย่างไร นั่นคือเสน่ห์ของการจัดการเรียนรู้ผ่านละครสร้างสรรค์ของชนะมาร”
“เมื่อก่อนเราอาจจะทำงานลำพัง แต่วันนี้เรามีทีมนี้ที่พร้อมจะไปซัพพอร์ตเป็นเพื่อนร่วมเดินไปกับเรา ไม่ต้องให้เด็กเขาชนะอะไร ให้เขาชนะใจตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเป็นคนที่มีความเข้มแข็งทางจิตใจ แค่นี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วครับ”
เชื่อมพลังครูและโรงเรียนกว่า 200 แห่ง
สานต่อกระบวนการการเรียนรู้ ขับเคลื่อน “วิชาชนะมาร”
ทั้งนี้จากผลลัพธ์ ปีที่ผ่านมา ได้มีโรงเรียนเข้าร่วมทั้งหมด 200 แห่งทั่วประเทศ ส่งต่อคู่มือชนะมารถึงมือครูกว่า 200 คน และสนับสนุนนักเรียนแกนนำไม่น้อย 500 คน ให้เป็น "นักสื่อสารสุขภาวะ
“ผลลัพธ์ที่ผ่านมา มีโรงเรียนเข้าร่วมทั้งหมด 200 แห่งทั่วประเทศ ส่งต่อคู่มือชนะมารถึงมือครูกว่า 200 คน และสนับสนุนนักเรียนแกนนำไม่น้อย 500 คน ให้เป็น "นักสื่อสารสุขภาวะ บอกต่อความรู้ต่อเพื่อน ๆ สสส. เล็งเห็นว่าโครงการนี้สามารถนำไปบูรณาการในระบบการศึกษาและช่วยตอบตัวชี้วัดของสถานศึกษาได้หลายโครงการ เช่น โครงการ To Be Number One โครงการสถานศึกษาสีขาว โครงการเรียนดีมีสุข โครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ และโครงการโรงเรียนปลอดบุหรี่ ถือเป็นการขับเคลื่อนงานเชิงรุก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและส่งเสริมศักยภาพครูและนักเรียนแกนนำ สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืน”
“อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าสิ่งที่ สสส. และภาคีเครือข่าย รวมถึงคุณครูทำ เป็นสิ่งที่มีพลังมาก เพราะทำให้เด็กได้เรียนรู้กระบวนการไม่ใช่จากการบรรยาย แต่เป็นจากประสบการณ์ที่เด็กได้แสดงละคร ได้เล่น ได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ หมายความว่าเวลาที่เขาจะทำละครเขาก็ต้องไปศึกษาแล้วมาถกกันกับเพื่อน มันจะฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก มันไม่ใช่ความรู้ที่เกิดจากการที่มีคนพูด แล้วเขาก็หลับไปในห้อง แต่เป็นการที่เขาต้องไปศึกษาเองแล้วจินตนาการเพื่อสร้างบทละคร เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งตรงนั้นคือจินตนาการ เพราะในยุค AI เราโหยหาจินตนาการ การให้เด็กคิดละคร คือการสร้างพลังบวก เขาจะสื่อสารอย่างไรให้ตรงใจกับผู้ดู ผู้ฟัง เป็นการเรียนรู้แบบอิสระด้วย”
“โครงการนี้ ไม่ได้มีหลักสูตรผูกมัด ตายตัวว่าจะต้องมีกระบวนการอย่างไร มีกี่คาบ กี่ชั่วโมง กี่หน่วยกิต แต่มีเพียงแนวทางว่าใช้กระบวนการเรียนรู้แบบอิสระให้คนได้เรียนรู้กัน ครูแต่ละท่านสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้ของเด็กที่มีความหลากหลายและเรียนรู้ร่วมโดยที่หลาย ๆ ที่ สามารถนำมาแบ่งปันกันว่าเขาได้เรียนรู้อย่างไร ไปสร้างกระบวนการให้เด็กอย่างไร เรียกว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้แบบอิสระ ซึ่งจะสร้างแนวคิดเชิงบวก เป็นการสร้างขวัญกำลังใจและอุดมการณ์ให้คุณครูอยากช่วยกันสร้างเสริมประสบการณ์ให้เด็กหลุดพ้นจากอบายมุขต่าง ๆ”
“ผมต้องขอบคุณทุกภาคส่วน คุณครูทุกท่านที่เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อปลูกฝังให้เด็กของเราชนะกับมาร เพราะความสำเร็จในชีวิต ไม่เพียงแต่ต้องมีการศึกษาดี มีรายได้ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว และชนะมารไปตลอดชีวิตด้วย ‘ชนะมาร’ เป็นโครงการที่เราอยากเห็นทุกภาคส่วนในสังคมมามีส่วนร่วม มาช่วยกันสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้และชนะมารไปด้วยกันครับ” นพ.พงศ์เทพ กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม
                    

