แน่นอนว่า คนไทยทุกคนควรได้รับสิทธิในการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพยังคงเป็นโจทย์สำคัญของสังคมไทย ทั้งทรัพยากรบุคคลและสถานพยาบาลที่มีจำกัด รวมไปถึงการเข้าถึงข้อมูลความรู้ การป้องกันโรค และการได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและกลุ่มเปราะบาง
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็ว การดูแลสุขภาพจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในโรงพยาบาลอีกต่อไป แต่ขยายมาถึงหน้าจอของทุกคน Health Tech กลายเป็นอีกหนึ่งทางออกในการลดช่องว่างด้านสุขภาพ สร้างความเท่าเทียม และเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้
จากจุดนี้เรื่องราวของนวัตกรรมด้านสุขภาพจึงเริ่มขึ้น ซึ่งเป็นการรวมกันของ “สุขภาพ” กับ “เทคโนโลยี” ผ่านความคิดสร้างสรรค์ของ “นวัตกรคนรุ่นใหม่” โดยมี สสส. เปิดพื้นที่บ่มเพาะไอเดียและเครื่องมือ เพื่อสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง และสามารถตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพของคนไทยได้
สุขภาพดี ต้องเริ่มจากการ ‘สร้างเสริม’ ก่อน ‘รักษา’
โครงการ HEALTHTECH X 2 The Future หรือ โครงการบ่มเพาะเพื่อพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ โดย สสส. ร่วมกับ บริษัท ซีนเนอร์ยี่ อินโนเวชั่น จำกัด (SYNHUB) เดินหน้าขับเคลื่อนต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ด้วยแนวคิด “The Future เพราะอนาคตของสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากวันนี้” เดินหน้าชวนคนรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการ พัฒนานวัตกรรมดิจิทัลที่สามารถใช้งานได้จริงและใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย เช่น แอปพลิเคชัน AI อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things : IoTs) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality : VR) เพื่อพัฒนาสุขภาวะและคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ เด็ก เยาวชน และคนพิการ พร้อมสร้างโอกาสเติบโตทางธุรกิจและขยายผลสู่สาธารณะ
ปีนี้มีนวัตกรสมัครเข้าร่วมโครงการ 133 ทีมทั่วประเทศ และผ่านการคัดเลือกเหลือ 22 ทีม เพื่อเข้าร่วมโปรแกรมบ่มเพาะการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม โดยวิทยากรมืออาชีพทั้งด้านสร้างเสริมสุขภาพ ด้านเทคนิคการออกแบบนวัตกรรม และกลยุทธ์การตลาด
นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จำนวนผู้ป่วยติดเตียงของคนไทยปัจจุบันเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 1,000 คนต่อวัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุ ปัญหาสุขภาพเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อครอบครัวและระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยสาเหตุของปัญหาสุขภาพในปัจจุบันเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความเครียด โรคไม่ติดต่อ (NCDs) การดื่มสุรา สูบบุหรี่ และการบริโภคอาหารรสหวานหรือเค็มเกินความจำเป็น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นต้นเหตุสำคัญ
ดังนั้น การนำเทคโนโลยีมาช่วยติดตามและให้ข้อมูลสุขภาพ จะช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและปรับพฤติกรรมได้ทุกวัน ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยจะดูแลตัวเองเท่านั้น แต่สมาชิกในครอบครัวและชุมชนยังสามารถร่วมมือดูแลซึ่งกันและกัน ส่งผลให้เกิดสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนสำหรับคนไทยทุกคน
“คนป่วยติดเตียงอาจสูงถึง 10,000 คนต่อปี เพราะคนสูงอายุมากขึ้น ทุกวันนี้คนป่วยเร็วมาก เจ็บเร็วมาก ผมไม่อยากเห็นคนไทยกว่า 70 ล้านคนต้องเผชิญชะตากรรมแบบนั้น เราต้องใช้เทคโนโลยีแซงความเร็วของการเจ็บป่วยไป เพื่อช่วยคนไทยให้ทันและยังมีหลายสิบล้านคนรอเราอยู่”
“เราจะเห็นว่า เด็กยุคใหม่ในโครงการนี้มีถึง 22 ทีม เป็นเด็กรุ่นน้องอายุเพียง 20 กว่าปี ซึ่งมีความคิดอยากทำเพื่อสังคม ต่างจากตอนเราอายุ 20 ปีกว่า เราเองก็ยังคิดไม่ได้แบบนี้เลย ดังนั้น สสส. จึงเข้ามาช่วยสานฝัน พาพวกเขามาสร้างเรื่องราวดี ๆ ซึ่งการมีผู้ชนะหรือผู้แพ้ไม่สำคัญเท่ากับการที่ทุกคนมาร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสิ่งดี ๆ เพราะปัญหาคือคนที่อยู่นอกพื้นที่ส่วนกลาง หลายคนมีความมุ่งมั่นอยากสร้างพื้นที่ตัวอย่างและส่งต่อความสำเร็จให้ประเทศชาติ เราต้องการเห็นคนไทยมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดี ซึ่ง สสส. ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”
“ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เรามีทีมรวมเกือบ 50 ทีม ซึ่งยังไม่ถึง 5% ของประชากรทั้งประเทศ แต่การนำ Health Tech มาช่วยเก็บข้อมูล เตือนภัย และเปลี่ยนพฤติกรรม จะทำให้ผู้ใช้มีสุขภาพดีขึ้น ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับวัยแก่หรือไม่แก่ แต่เกี่ยวข้องกับคนไทยทุกคน เพราะฉะนั้นถ้ายิ่งเริ่มตั้งแต่อายุ 20–30 ปี ประเทศก็จะเต็มไปด้วยคนที่แข็งแรง มีความสามารถ และเป็นประโยชน์ต่อสังคม”
“สิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยให้เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องของโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว เราต้องนำเรื่องเหล่านี้เข้ามาใกล้ตัวเรา ครอบครัว และชุมชน การสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนเริ่มจากคนรอบตัวเราเอง ในฐานะตัวแทน สสส. ขอร่วมมือกับอีก 22 ทีม ลงพื้นที่ไปยังชุมชนห่างไกลกรุงเทพฯ ยังมีอีกมากที่ยังเข้าไม่ถึงโอกาส เพราะสังคมของเรายังเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ และพวกเขากำลังรอเราอยู่” นายสัมพันธ์ กล่าว
นายสัมพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงเป้าหมายระยะต่อไปของโครงการฯ ว่า สสส. เตรียมนำผลลัพธ์จากโครงการขยายผลเป็นธุรกิจเพื่อสังคม นำไปต่อยอดใช้งานได้จริงภายในบ้าน ชุมชน และโรงพยาบาลทั่วไทย และเตรียมส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป
ส่อง 2 นวัตกรรมผู้ชนะที่ทำให้สุขภาพไม่ใช่เรื่องของโรงพยาบาลอีกต่อไป
ภายในโครงการ HEALTHTECH X 2 The Future จาก สสส. มีผลงานนวัตกรรมสุขภาพที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แอปฯ หาอาชีพให้กลุ่มเปราะบาง แอปฯ ลดภาวะ caregiver burden หรือภาวะหมดไฟของผู้ดูแลกลุ่ม เปราะบาง แอปฯ เพื่อการเดินทางของผู้ใช้วีลแชร์ สามารถเดินทางได้ด้วยตนเอง VR Application ลดภาวะซึมเศร้าและความรู้สึกโดดเดี่ยว เสริมสร้างพลังใจ หรือ ถุงมือแปลภาษาสองทาง ลดความเครียด
ในรอบสุดท้ายของโครงการ มีการคัดเลือกสุดยอดนวัตกรรมสุขภาพทั้งหมด 7 ทีม แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทประชาชนทั่วไปและสตาร์ทอัพ ผลงานได้ที่รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 คือ แอปฯ แนะนำท่ายืดเหยียด สำหรับผู้สูงอายุและผู้ใช้แรงงาน จากทีม ERTIGO
นางสาวพรพิมล สถิรรัตน์ CEO บริษัท บีนิวเทค จำกัด ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทผู้ประกอบการทั่วไป เล่าถึงจุดเริ่มต้นแนวคิดว่า เกิดจากปัญหาอาการ “ออฟฟิศซินโดรม” ที่กลายเป็นโรคยอดฮิตของคนทำงานยุคใหม่ ซึ่งประเทศไทยสูญเสียกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปีจากปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการทำงาน เช่น ปวดหลังเรื้อรัง กระดูกทับเส้น ข้อเข่าเสื่อม นิ้วล็อค และไหล่ติด ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและอัตราการลาออกก่อนวัยอันควร องค์การอนามัยโลกชี้ว่า “การขยับร่างกายคือยาที่ดีที่สุด” แต่คำถามคือควรขยับอย่างไรให้เหมาะสมกับแต่ละคน
จากโจทย์นี้เกิดเป็นนวัตกรรม “ERTIGO” แอปพลิเคชันกายภาพบำบัดออนไลน์ที่ใช้ระบบ AI สแกนและวิเคราะห์ท่าทางของผู้ใช้ เพื่อประเมินความเสี่ยงจากอาการปวดกล้ามเนื้อ พร้อมสร้างแผนกายบริหารเฉพาะบุคคล
เริ่มต้นจากการสแกนร่างกายเพื่อประเมินความเสี่ยงจาก 4 มุมมองหลักด้วยระบบ AI ซึ่งจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลและระบุจุดเสี่ยงในแต่ละบริเวณของร่างกายอย่างละเอียด หลังจากนั้น แอปพลิเคชันจะสร้างแผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล (Personalized Plan) ที่สามารถปฏิบัติตามได้ทันที ผ่านรูปแบบ Animation และระบบ Text-to-Speech เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถทำตามได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องจ้องหน้าจอตลอดเวลา
เมื่อจบแต่ละเซตของการฝึก ระบบจะทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์โดยอัตโนมัติ เพื่อนำข้อมูลมาปรับแผนการบำบัดให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เหมือนมี “นักกายภาพบำบัดส่วนตัว” อยู่ในมือของทุกคน พร้อมขยายผลสู่ภาคเอกชน แรงงานต่างด้าวและกลุ่มเปราะบางให้ทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้ง่ายขึ้น
“เราเน้นไปที่ส่วนของไลฟ์สไตล์ คือการทำ Screening และวิเคราะห์เบื้องต้นว่า สภาพร่างกายของผู้ใช้ปกติหรือไม่ และสามารถแก้ไขได้ด้วยท่ากายบริหารที่แนะนำ ต้องแจ้งก่อนว่า เครื่องมือนี้ไม่ใช่หมอและไม่สามารถแทนหมอหรือนักกายภาพบำบัดได้ เพราะเรื่องมาตรฐานทางการแพทย์ยังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบหลายขั้น นอกจากนี้เรายังได้นำเอาแอปฯ ไปใช้ร่วมกับคลินิก เพื่อช่วยนักกายภาพบำบัด โดย AI จะสแกนข้อมูลจากกล้องเสมือนเป็นตาของนักกายภาพ ดังนั้น AI จึงกลายเป็นตัวช่วยเบื้องต้นก่อน ซึ่งสามารถลดระยะเวลาและลดค่ารักษาได้ 1,500–2,500 บาทต่อครั้ง”
“ข้อมูลท่ากายบริหารเบื้องต้นก็มาจากนักกายภาพและแพทย์แผนไทยประยุกต์ ส่วนทีมของเราก็มีโค้ชผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบรับรองจากสหรัฐอเมริกา เราใช้ความรู้เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้น แต่ไม่ได้หมายความว่า สามารถหาจากหนังสือหรือดูจากที่ไหนก็ได้ ต้องนำองค์ความรู้หลายด้านมาผสมกัน ดังนั้น ทีมของเราจึงใช้ทั้งโค้ชและผู้เชี่ยวชาญหลายศาสตร์มาช่วยกันปรับท่ากายบริหารให้เหมาะสม ทำได้จริง และเข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้” นางสาวพรพิมล ให้ข้อมูล
ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดทดลองใช้งาน ได้ที่ https://ertigo.me/ หรือ Google Play สำหรับระบบ Android และ App Store สำหรับระบบ iOS
ขณะที่อันดับ 2 แพลตฟอร์มป้องกันและคัดกรองมะเร็งเบื้องต้น ประเภท AI สำหรับกลุ่มเปราะบาง จากทีม Precisionize อันดับ 3 อุปกรณ์เฝ้าระวังการล้มในผู้สูงอายุ จากทีมใส่ใจวัยเก๋า ส่วนรางวัล Popular vote รับรางวัลพิเศษจาก สสส. ได้แก่ทีม Good Boy Nirvana
ขณะที่ ทีม Eldent คว้ารางวัลชนะเลิศประเภท “ประชาชนทั่วไปและสตาร์ทอัพ” ด้วย แอปฯ ประเมินภาวะทางเดินปัสสาวะอุดกั้นด้วยเสียง สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพสำคัญของประเทศไทย
นพ.ลาภณวัส สันติธรรม หัวหน้าทีม Eldente ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทประชาชนทั่วไปและสตาร์ทอัพ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากกว่า 14 ล้านคน โดยกว่า 50% มีปัญหาทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง แต่ในจำนวนนี้ถึง 60% ไม่เคยเข้ารับการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทาง เนื่องจากทั้งประเทศมีแพทย์ทางเดินปัสสาวะเพียง 423 คน หรือเฉลี่ยเพียง 0.64 คนต่อประชากรแสนคน ซึ่งน้อยกว่าญี่ปุ่นถึง 12 เท่า
นอกจากนี้ โรงพยาบาลของรัฐในประเทศไทยกว่า 90% ยังไม่มีเครื่องมือวัดอัตราการไหลของปัสสาวะ เนื่องจากมีเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 470 บาทต่อครั้ง
“เราพบว่า ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องเข้าห้องฉุกเฉินด้วยภาวะปัสสาวะไม่ออก และบางรายถึงขั้นไตวาย ทั้งที่สามารถรักษาได้หากตรวจพบเร็วขึ้นสามารถที่แก้ไขได้ถึง 57%” นพ.ลาภณวัสกล่าว พร้อมระบุว่า ปัญหาดังกล่าวสร้างภาระค่าใช้จ่ายระดับมหภาค โดยเฉพาะค่ารักษาโรคไตวายเรื้อรังที่สูงถึง 16,000 ล้านบาทต่อปี
จากสถานการณ์นี้ ทีม Eldente จึงพัฒนา Flowmind-RA แอปฯ ประเมินภาวะทางเดินปัสสาวะอุดกั้น ซึ่งผู้สูงอายุสามารวัดแรงเสียงของการปัสสาวะได้ด้วยการใช้โทรศัพท์มือถือ พร้อมแปลผลอัตราการไหลของปัสสาวะได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ใช้งานง่าย สะดวก และปลอดภัย ที่สำคัญ คือการมีข้อมูลเบื้องต้นก่อนไปพบแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือความรุนแรงอื่น ๆ ที่เกิดจากความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ รวมทั้งความเสี่ยงโรคทางเดินปัสสาวะ อาทิ โรคไต โรคหัวใจ และต่อมลูกหมาก
“ผมติดตามโครงการ HEALTHTECH X 2 ของ สสส. ตั้งแต่ครั้งที่ 1 เก็บแรงบันดาลใจไว้ว่า วันหนึ่งอยากใช้ความรู้และความสามารถด้านการแพทย์ให้คนเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น วันนี้เราจึงสมัครเข้าร่วมโครงการ HEALTHTECH X 2 และต่อยอดนวัตกรรมเพื่อให้บริการทางสุขภาพเข้าถึงได้มากขึ้น สิ่งที่ตั้งใจคืออยากให้คนไทยได้รับประโยชน์จริง ๆ และสามารถใช้งานได้ ดังนั้น เราตั้งเป้าให้แอปฯ สามารถเข้าถึงส่วนกลาง หากได้ TRL 9 และ อย.จะนำไปใช้ในรูปแบบ B2G กับโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน รวมถึงให้คนใช้ที่บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เรามีความฝันว่า จะกระจายบริการไปทั่วประเทศภายในหนึ่งปีครึ่ง เรามีความฝันแบบนั้น”
ปัจจุบันทีม Eldente ลงพื้นที่แล้วกว่า 9 แห่งทั่วประเทศ มีการใช้งานมากกว่า 1,000 ครั้ง และมีผู้ใช้กว่า 1,300 คน โดยสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการคัดกรองสุขภาพได้เพิ่มขึ้นเกือบ 70% ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://uro.flowmind-ra.cloud
ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของแอปฯ การเดินทางเพื่อผู้ใช้วีลแชร์ จากทีมนัก Bit และ VR สร้างเสริมสุขภาพจิต สำหรับผู้ต้องขัง จากทีม YVR อันดับ 3 อุปกรณ์ช่วยสื่อสารและควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านสำหรับผู้พิการและผู้ป่วยติดเตียง ประเภท AI-IoT จากทีม Aihub


