ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย หรือทางการแพทย์เรียกว่า ซาโคพิเนีย (Sarcopenia) เป็นภาวะที่มวลกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกายและคุณภาพชีวิต เป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามวัย โดยทั่วไปมวลกล้ามเนื้อเริ่มลดลงทีละน้อยตั้งแต่อายุ 25 ปี และเมื่ออายุ 40 ปีจะลดลงประมาณ 8% ทุก 10 ปีและจะลดลงเร็วขึ้น เมื่ออายุ 70 ปี โดยอัตราการลดลงของมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นเป็น 15% 2) โภชนาการที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง ทำให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม 3) การขาดการเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน (resistance exercise) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษามวลกล้ามเนื้อ 4) ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 การล็อกดาวน์ ทำให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวออกแรงลดลงจากปกติ ส่งผลต่อการลดลงของมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกหัก ต้องใช้เวลาในการรักษาและฟื้นตัวนาน และ 5) โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non Communicable diseases, NCDs) โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบที่ส่งผลต่อมวลกล้ามเนื้อ รวมถึงภาวะการรู้คิดบกพร่อง (cognitive impairment) ภาวะสมองเสื่อม (dementia) และภาวะซึมเศร้า (depression) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ในปัจจุบันผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรค NCDs อย่างน้อย 1 โรค ทำให้ปัญหาภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยมีความสำคัญยิ่งขึ้น จึงมีการกำหนดแนวทางโดยคณะทำงานในการคัดกรองภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในคนเอเชีย (Asian Working Group for Sarcopenia, AWGS 2019) มี 3 แนวทาง ได้แก่ การวัดรอบน่อง การวัดแรงบีบมือ และการประเมินอัตราการเดิน โดยในการวัดรอบน่อง ซึ่งเป็นด่านแรกของการคัดกรอง เนื่องจากการวัดรอบน่องแบบดั้งเดิมอาจมีความคลาดเคลื่อน จึงเป็นที่มาของการพัฒนานวัตกรรม 3D scan เพื่อประเมินรอบน่องได้อย่างแม่นยำ
ศาสตราจารย์ ดร.นพวรรณ เปียซื่อ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของแนวทางการแก้ปัญหาภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในผู้สูงอายุว่า จากการที่ทีมงานจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าไปช่วยดูแลสุขภาพกลุ่มเปราะบางในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนชุมชนปิดในช่วงการระบาดของโควิด-19 หลังจากนั้น ได้ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องในการคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุตามแนวทางการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบบูรณาการ (Integrated Care for Older People, ICOPE) และ AWGS พบว่า ผู้สูงอายุเกือบทั้งหมดมีความเป็นไปได้ของภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย (possible sarcopenia) โดยมีปัจจัยร่วม ได้แก่ การเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังโดยเฉพาะโรคเบาหวาน ภาวะการรู้คิดบกพร่อง และภาวะซึมเศร้า ทั้งนี้ ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลจึงได้ร่วมกับทีมสหวิชาชีพจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยรังสิต พัฒนาเครื่องมือคัดกรองโดยการวัดรอบน่องที่ใช้ระบบ 3D สแกน ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ช่วยในการประเมินรอบน่องส่วนที่กว้างที่สุด ทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น นวัตกรรมดังกล่าวนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบ หากได้ผลดีจะช่วยในการวางแผนการดูแลผู้สูงอายุในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและสามารถขยายผลสู่การดูแลผู้สูงอายุทั่วไปได้
นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและยั่งยืน ประกอบด้วย การคัดกรองและจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การติดตามระดับน้ำตาลปลายนิ้ว ความดันโลหิต การรับประทานยาต่อเนื่อง ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและสมาชิก "ลูกบ้าน" ให้สามารถดูแลกันเอง รวมถึงการดูแลสุขภาพฟันซึ่งมีผลต่อการเคี้ยว การกลืนและการได้รับโปรตีนอย่างเหมาะสม
แนวทางการสร้างเสริมมวลกล้ามเนื้อ มี 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) โภชนาการที่เพียงพอและหลากหลาย โดยเน้นการบริโภคโปรตีนให้เพียงพอ (ประมาณ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน) จากแหล่งต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ (2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ) น้ำเต้าหู้ ไข่ รวมถึงโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่างๆ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังร่วมกับภาคีเครือข่ายที่ ได้บริจาคปลานิลให้กับสถานคุ้มครองฯ ได้ร่วมกันเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารโปรตีนที่เพิ่มขึ้นให้สมาชิกที่พักอาศัยอยู่ร่วมกัน 2) การออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน เช่น การใช้ยางยืด การเดิน การยกน้ำหนักหรือขวดน้ำ โดยได้มีการจัดตั้งกลุ่มออกกำลังกายเพื่อชะลอการลดลงของมวลกล้ามเนื้อ และ 3) การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น การลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง การส่งเสริมกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอและสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ เช่น การปลูกผัก ปลูกถั่ว เลี้ยงไก่ไข่ เป็นโปรตีนทางเลือกและสร้างเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน