กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก สร้างความตระหนักรู้สุขภาพด้านโรคหัวใจและทรวงอก แนะให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการป้องกันโรค ลดปัจจัยเสี่ยง รู้เท่าทันอาการเตือน ชี้ควรเข้าถึงการรักษาเร็วที่สุด ภายใน 120 นาที ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นสถาบันในระดับตติยภูมิ มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคปอด โรคหัวใจและหลอดเลือดของประเทศไทย จากอดีตจนถึงปัจจุบันสถาบันโรคทรวงอกมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นับได้ว่าเป็นศูนย์กลางของโรคหัวใจหลอดเลือดและปอด ที่มีการนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามารักษาผู้ป่วยเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ เพื่อการรักษาที่ได้คุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ จนเป็นแหล่งศึกษาดูงาน ฝึกอบรมของแพทย์ พยาบาลและสหวิชาชีพในระดับชาติและนานาชาติมาโดยตลอด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการ “กระจายบริการทางการแพทย์ขั้นสูง สู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำ” ที่เป็นนโยบายสำคัญอีกเรื่องหนึ่งของนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
เนื่องด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตลำดับต้นๆของประเทศไทย โดยอาการของโรคนี้อาจแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล เช่น เจ็บหน้าอก จุกแน่นกลางอกหรือลิ้นปี่ เจ็บร้าวหัวไหล่ด้านซ้าย หรือไปกราม ใจสั่น เหงื่อแตก เป็นลม หมดสติ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม โดยการเสียชีวิตส่วนใหญ่มักมีปัจจัยเสี่ยงจาก ระดับความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ภาวะอ้วนและน้ำหนักเกิน การสูบบุหรี่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงมลพิษ ฝุ่น PM 2.5 เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และเพื่อลดอัตราการตายของกล้ามเนื้อหัวใจและลดอัตราการเสียชีวิต หากพบว่ามีอาการเข้าได้กับโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติชนิด ST elevation (STEMI) ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์อย่างเร็วที่สุด เพื่อเปิดหลอดเลือดหัวใจด้วยให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือการขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านทางสายสวน ภายในระยะเวลาที่เรียกว่านาทีทอง (Golden period) 120 นาทีหรือประมาณ 2 ชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มมีอาการช่วยลดอัตราการเสียชีวิต
นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูล THAI ACS REGISTRY ปี 2567 พบว่ามีผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (STEMI) 9,701 ราย มีอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลร้อยละ 9.07 อีกทั้งยังพบว่าผู้ป่วยมาโรงพยาบาลล่าช้าเกินกว่ากำหนด และเพื่อสร้างความเข้าใจ ตระหนักรู้ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของโรค สถาบันโรคทรวงอกจึงขอให้ประชาชนทุกกลุ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพหัวใจ เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ สามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้าง Health Literacy หรือความรอบรู้ด้านสุขภาพและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันโรคลดปัจจัยเสี่ยง รู้เท่าทันอาการเตือน และสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วทันเวลาเป็นพื้นฐานของการดูแลสุขภาพในระยะยาวอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม เราสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ดังนี้ 1.บริโภคอาหารไขมันต่ำและอาหารที่มีกากใย 2.พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียด 3.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 4.รักษาระดับความดันโลหิตให้เหมาะสมและลดการบริโภคเค็ม 5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 6.ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 7.หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี 8.งดสูบบุหรี่