ปัจจุบันพบผู้ป่วยที่มีปัญหากระดูกและข้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) ที่ไม่ได้เกิดแค่ในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังพบได้ในคนวัยทำงานที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การนั่งอยู่กับที่นาน ๆ ใช้งานข้อเข่าหนัก หรือการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง
รศ.พล.อ.ท.นพ. จำรูญเกียรติ ลีลเศรษฐพร แพทย์เฉพาะทางกระดูกและข้อ อธิบายว่า ปัจจัยที่ทำให้ “ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น” ในปัจจุบัน มาจากหลายสาเหตุ เช่น
• กิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง (Impact Activity) โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่อเข่า เช่น วิ่ง กระโดด ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
• อุบัติเหตุที่กระทบข้อโดยตรง เช่น กระดูกหักเข้าไปในข้อ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ผิวข้อที่ไม่เรียบจะสึกหรอและเสื่อมสภาพเร็ว
• การใช้งานเข่าซ้ำ ๆ ในท่าเดิม โดยเฉพาะในผู้ที่นั่งงอเข่านาน ๆ เช่น นั่งยอง พับเพียบ หรือนั่งพื้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบของลูกสะบ้า พบได้มากในผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป
ข้อเสื่อมหรือแค่อักเสบ: ต่างกันอย่างไร?
อาการปวดเข่าไม่ได้หมายความว่าจะเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” เสมอไป ผู้ป่วยจำนวนมากมีอาการแค่ “ปวดบางท่า” เช่น เวลาลุกจากเก้าอี้ หรือเดินขึ้นบันไดแล้วเจ็บเข่า แบบนี้อาจเป็นเพียง การอักเสบของเส้นเอ็นหรือผิวข้อ ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นข้อเสื่อม
แต่หากเป็น “ข้อเสื่อมจริง ๆ” จะมีลักษณะเฉพาะ เช่น :
• ผิวข้อเริ่มไม่เรียบ เวลาขยับจะมีเสียง กึ๊ก ๆ เหมือนกระดาษทราย
• น้ำหล่อเลี้ยงข้อมีคุณภาพลดลง ข้อขยับไม่ลื่น
• มีการเสียดสีเรื้อรัง จนทำให้เกิดอาการอักเสบและบวมได้
• ในรายที่เป็นมาก กระดูกจะ ทรุด ขาโก่ง เดินไม่ตรง และคุณภาพชีวิตลดลงอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะในผู้ที่มี ภาวะกระดูกพรุน หรือขาดแคลเซียมและวิตามินดี ร่วมด้วย จะยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
สัญญาณเตือน “ข้อเข่าเสื่อม” ที่ควรพบแพทย์
หากมีอาการปวดเข่าเป็น ๆ หาย ๆ โดยไม่มีอาการบวม หรือมีแค่เสียงในข้อ อาจเริ่มดูแลตนเองก่อนก็ได้ เช่น กายภาพบำบัดหรือปรับพฤติกรรม
แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 เดือน หรือมีอาการ ปวดบวมชัดเจน เดินลำบาก ขาโก่ง นั่นคือสัญญาณว่าควรพบแพทย์ทันที เพราะการวินิจฉัยที่แม่นยำควรประกอบด้วย การ X-ray ท่าลงน้ำหนัก เพื่อดูโครงสร้างแนวกระดูก และช่องว่างในข้อ และทำ MRI ควบคู่ ในกรณีสงสัยว่ามีหมอนรองกระดูกฉีกขาด หรือเส้นเอ็นภายในข้อมีปัญหา
ระดับของความเสื่อม และแนวทางรักษาที่เหมาะสม
รศ.นพ.จำรูญเกียรติ อธิบายเพิ่มว่า ความเสื่อมของผิวข้อกระดูกอ่อนนั้น จริง ๆ แล้วมีการแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ซึ่งระดับเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจว่าจะใช้วิธีรักษาแบบใดที่เหมาะกับคนไข้
ระดับ 1–2: ที่สามารถรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด
มักพบในระยะแรกของข้อเข่าเสื่อม ผิวข้อเริ่มมีการสึกบ้างแต่ยังไม่รุนแรงมาก ยังพอสามารถ “ถนอมข้อ” เอาไว้ได้ด้วยการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น กายภาพบำบัด ปรับพฤติกรรม หลีกเลี่ยงท่าทางที่กระทบต่อเข่า และออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อลดแรงกดที่ข้อ พร้อมกับการรักษาภาวะกระดูกพรุน หรือการทานยาบำรุงข้อในบางราย
อีกวิธีที่นิยมคือการฉีด Hyaluronic Acid (น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม) ซึ่งช่วยเพิ่มความลื่นของข้อ และลดการเสียดสี นอกจากนี้ยังมีการฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) โดยใช้เกล็ดเลือดของผู้ป่วยเอง เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวข้อ
กรณีที่มีหมอนรองกระดูกข้อเข่าฉีกขาด ก็สามารถใช้การ “ส่องกล้อง” เพื่อซ่อมแซมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนข้อ การส่องกล้องนี้ถือว่าเป็นการผ่าตัดเล็ก เจาะรูขนาดไม่เกิน 1 ซม. ฟื้นตัวเร็ว คนไข้ลุกเดินได้ในเวลาไม่นาน
ระดับ 3–4 รักษาโดยการเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
ในระดับนี้ ข้อเริ่มสึกมากขึ้นจนบางจุดแทบไม่เหลือผิวข้อให้ใช้งาน การ “เปลี่ยนข้อ” อาจเริ่มมีความจำเป็น แต่อาจไม่ต้องเปลี่ยนทั้งหมดเสมอไป ถ้าเสียหายเพียงบางส่วน เช่น ด้านในของข้อ ยังพอรักษาได้ด้วยการเปลี่ยนแค่บางส่วน หรือที่เรียกว่า Partial Knee Replacement ซึ่งมีข้อดีคือ แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และมักนอนโรงพยาบาลเพียงคืนเดียวก็กลับบ้านได้
แต่ถ้าข้อเสื่อมในหลายด้าน หรือ “ขาโก่งมาก” จากกระดูกทรุดตัวจนแนวขาผิดเพี้ยน ก็อาจจำเป็นต้อง “เปลี่ยนข้อเข่าทั้งหมด” หรือ Total Knee Replacement ซึ่งในปัจจุบันแผลผ่าตัดเล็กลงมาก ต่างจากสมัยก่อน และด้วยเทคโนโลยีใหม่ เช่น “หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด” ก็ยิ่งช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น
Robotic Surgery: เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมด้วยหุ่นยนต์ช่วยให้ผลแม่นยำยิ่งขึ้นมาก โอกาสคลาดเคลื่อนจากมาตรฐานน้อยกว่า 1% เทียบกับการผ่าตัดแบบเดิมที่อาจคลาดเคลื่อนได้ถึง 10–15% ระบบหุ่นยนต์ยังช่วยประเมินความตึงของเส้นเอ็น ทำให้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดสามารถเดินได้ดี งอเข่าได้เต็มที่ ไม่ตึงหรือเหยียดไม่สุด
อายุกับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
แพทย์จะเลือกใช้วัสดุข้อเทียมที่เหมาะกับวัยของผู้ป่วย แม้ผู้สูงอายุถึง 90 ปีก็ยังรักษาได้ หากร่างกายแข็งแรงการผ่าตัดพร้อมกัน 2 ข้างก็สามารถทำได้อย่างปลอดภัย และด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ช่วยให้ผ่าตัดแม่นยำ พักฟื้นไม่นาน กลับมาเดินได้ทันที
แม้จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม แต่หากตรวจพบเร็ว และเริ่มรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก จะสามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดใหญ่ได้ และชะลอการเสื่อมไม่ให้ลุกลามไปยังข้ออื่น เช่น ข้อเท้า หรือแม้แต่กระดูกสันหลัง
“เอส สไปน์ แอนด์ จอยท” เราเน้นการวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณมีความสุขทุกก้าวในชีวิต
โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อ ปรึกษา โทร 02-034-0808