ผู้นำภาคประชาสังคม และผู้นำชุมชนฐานรากจากทั่วเอเชีย เดินหน้าท้าทายแนวคิดเดิมในการกำกับดูแลความรับผิดชอบขององค์กรแบบ ‘บนลงล่าง’ (top-down) โดยเน้นย้ำถึงนวัตกรรมและโมเดลที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (Business and Human Rights – BHR) ของผู้ได้รับผลกระทบ
การเสวนาหัวข้อ “Beyond Crisis: Innovating Community-Led Approaches for Remedy and Corporate Accountability” ร่วมจัดโดย Oxfam in Asia, Association of Professional Social Workers and Development Practitioners (APSWDP) India บริษัท ป่าสาละ จำกัด และพันธมิตร ได้แก่ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (Human Rights and Development Foundation – HRDF) มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP Foundation) และมูลนิธิรักษ์ไทย (Raks Thai Foundation) ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายน 2568 ณ กรุงเทพมหานคร โดยเป็นหนึ่งในวาระของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 7 (United Nations Responsible Business and Human Rights Forum – UNRBHR)
การรวมตัวของผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน (human rights defenders) นักกฎหมาย และนักขับเคลื่อนชุมชน (community organizers) ในครั้งนี้ ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมที่พลิกอำนาจจาก ‘บนลงล่าง’ สู่ ‘ฐานรากขึ้นสู่เบื้องบน’ (bottom-up) ในการปรับเปลี่ยนแนวทางการตอบสนองของบริษัทและสถาบันต่าง ๆ ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งในสภาวะวิกฤตและสถานการณ์ปกติ
กรณีศึกษาการดำเนินการทางกฎหมายที่นำโดยชุมชน
รวีพร ดอกไม้ ผู้ประสานคลินิกกฎหมายแรงงาน มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF) ได้นำเสนอกรณีที่น่าสนใจ เช่น การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา 136 คน ที่ได้ยื่นฟ้องซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่อำเภอแม่สอดจังหวัดตาก
รวีพร กล่าวว่า “แม้จะมีหลักฐานการละเมิดที่ชัดเจน ตั้งแต่การได้รับค่าจ้างที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนด
ไปจนถึงสภาพการทำงานที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม คดีนี้กลับติดขัดและยืดเยื้อในกระบวนการยุติธรรมของทั้งสองประเทศมานานกว่าห้าปี แต่ความไม่ย่อท้อของแรงงาน และการร่วมแรงร่วมใจของภาคประชาสังคมข้ามพรมแดนที่คอยให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของขบวนการเรียกร้องความรับผิดชอบที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนอย่างแท้จริง”
การเสริมสร้างศักยภาพทางกฎหมายสำหรับกลุ่มประชากรชายขอบ
ราจีฟ กุมาร ผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์ APSWDP India กล่าวถึง Samta Nyay Kendra ในฐานะผู้บุกเบิกคลินิกให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายสำหรับบุคคลข้ามเพศ ซึ่งเริ่มให้บริการที่เมืองจัณฑีครห์ (Chandigarh) เป็นเมืองแรก ก่อนจะขยายผลความสำเร็จไปสู่เขตอื่น ๆ รวมถึงรัฐทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) และกลายเป็น ต้นแบบของความยุติธรรมที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน คลินิกดังกล่าวมุ่งแก้ไขปัญหาการถูกกีดกันทางกฎหมายและเศรษฐกิจของชุมชนข้ามเพศในอินเดียผ่านการให้การสนับสนุนแบบองค์รวม ทั้งด้านเอกสารทางกฎหมาย การคุ้มครองทางสังคม และการหารายได้
กุมาร กล่าวว่า "ปัจจุบัน Samta Nyay Kendra ให้การสนับสนุนผู้คนมากกว่า 1,000 คน ทั้งในด้านความช่วยเหลือทางกฎหมาย การทำเอกสารประจำตัว และการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ เพราะความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ ต้องไปให้ไกลกว่าแค่การประกาศคำมั่นสัญญา แต่ต้องนำไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งรวมถึงการไม่เลือกปฏิบัติในการจ้างงาน ความรับผิดชอบขององค์กรต่อสังคมที่จับต้องได้ และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง โอบรับความหลากหลาย และครอบคลุมทุกคน”
เครื่องมือเพื่อเปลี่ยนอำนาจและส่งเสริมความโปร่งใส
ทางด้าน รภัสสา ไตรรัตน์ ผู้จัดการแผนงานภาคเอกชน Oxfam in Asia นำเสนอโมเดลการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน (Community-Based Human Rights Impact Assessment – COBHRAS) ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการประเมินผลกระทบที่แตกต่างจากการที่บริษัทเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยแบบจำลองนี้มุ่งเน้นการเสริมศักยภาพให้ชุมชนมีเครื่องมือในการประเมินว่ากิจกรรมทางธุรกิจส่งผลกระทบต่อสิทธิของพวกเขาอย่างไร เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ และนำไปสู่การปรับสมดุลอำนาจระหว่างชุมชนกับภาคธุรกิจ
รภัสสา เน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วมของชุมชนที่แท้จริงหมายถึงการเริ่มต้นเร็ว ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและครอบคลุม รวมถึงสามารถระบุความเสี่ยงและผลกระทบได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งรับรองการมีส่วนร่วมบนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน และต้องผลักดันให้คำมั่นสัญญาเกิดขึ้นจริงให้ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการมอบอำนาจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด COBHRAs จึงเปรียบเสมือนหนทางที่นำไปสู่ความยุติธรรม”
ทบทวนความรับผิดชอบผ่านกลไกสากล
ฮย็อนพิล นา กรรมการบริหาร Korean House for International Solidarity (KHIS) แบ่งปันบทเรียนจากประสบการณ์ตรงของเกาหลีกับกลไกศูนย์ติดต่อประสานงานแห่งชาติ (National Contact Point – NCP) ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) โดยสะท้อนทั้งข้อจำกัดและศักยภาพของกลไก NCP พร้อมกล่าวว่า “แม้ว่ากระบวนการ NCP จะไม่ใช่กลไกในกระบวนการยุติธรรม และบ่อยครั้งก็ยังไม่สามารถนำไปสู่การเยียวยาที่แท้จริงได้ ทว่ากลไกนี้ก็ยังคงเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยสร้างการรับรู้ให้กับแคมเปญ และพื้นที่สำคัญในการสร้างการมีปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานภาครัฐ”
วิสัยทัศน์ร่วมเพื่อการปฏิรูปนโยบาย
ต่อมาผู้เข้าร่วมเสวนาได้มีโอกาสร่วมกันเสนอแนวคิดเพื่อสร้างภูมิทัศน์ด้าน BHR ที่ทั้งปฎิบัติได้จริงและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยมีข้อเสนอสำคัญที่หยิบยกขึ้นมาเพื่อผลักดันการปฏิรูป ได้แก่:
• ผลักดัน ให้มีการออกกฎหมายที่เชื่อมโยงกับการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence – HRDD) และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแผนแม่บทแห่งชาติ (National Action Plans – NAPs)
• ขยายผล กลไกการร้องทุกข์ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องมีความโปร่งใส ปลอดภัย และได้รับความเชื่อใจจากแรงงานและชุมชนอย่างแท้จริง
• รับรอง ว่านโยบายการไม่เลือกปฏิบัติขององค์กร จะต้องได้รับการสนับสนุนทางกฎหมาย และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างยั่งยืน
• ใช้ประโยชน์ จากแรงกดดันภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศผู้ซื้อ สื่อมวลชน หรือการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อสร้างอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางธุรกิจ
ในการสำรวจเส้นทางการปฏิรูปนโยบาย พลภคินทร์ พฤฒิวงศ์วาณิช ผู้ดำเนินรายการ จาก บริษัท ป่าสาละ จำกัด เน้นย้ำว่าความก้าวหน้าอย่างแท้จริงจำเป็นต้องอาศัยความรับผิดชอบร่วมกัน “การเยียวยาความเสียหายต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากร แต่สิทธิมนุษยชนรอไม่ได้ ภาคธุรกิจ นักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล องค์กรนอกภาครัฐระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม จึงต้องยกระดับบทบาท จากการให้คำปรึกษาไปสู่การกำกับดูแลร่วมกันอย่างแท้จริง นั่นคือการมอบอำนาจให้ชุมชนเป็นผู้นำ สนับสนุนเงินทุนในการรวบรวมหลักฐาน และการแบ่งสรรอำนาจในการตัดสินใจและกลไกการเยียวยา”
ประเด็นที่ชัดเจนที่สุดหลังกิจกรรมนำเสนอแนวคิดสิ้นสุดลงคือการเห็นตรงกันว่า การจะผลักดันวาระธุรกิจและสิทธิมนุษยชนให้ก้าวหน้าได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนผ่านในระยะยาว โดยมีชุมชนเป็นผู้กำหนดทิศทาง นอกจากนี้คณะผู้อภิปรายต่างเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการเป็นผู้นำชุมชนฐานราก การเสริมสร้างอำนาจทางกฎหมาย และการส่งเสริมความสามารถในตัวบุคคล เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงไม่เพียงมีสิทธิ์ส่งเสียง แต่ยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
เพื่อสร้างความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในระยะยาว ผู้ร่วมเสวนาเรียกร้องให้มีการดำเนินการด้วยคำมั่นสัญญาที่เป็นรูปธรรม กล่าวคือ ผลักดันให้เกิดการยกระดับเสียงของชุมชนที่กำลังเผชิญหน้าปัญหาในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจทางธุรกิจ เสริมสร้างกลไกการรับเรื่องร้องเรียนและการเยียวยาที่ชุมชนเข้าถึงและเชื่อใจได้จริง พร้อมผนึกกำลังข้ามภาคส่วน เพื่อเปลี่ยนกรอบแนวคิดที่อิงสิทธิมนุษยชนให้กลายเป็นความรับผิดชอบที่นำไปสู่การปฏิบัติจริง