xs
xsm
sm
md
lg

“ความเหงา...ภัยเงียบอันตรายกว่าที่คิด” สสส.-ภาคีเครือข่าย ชวนคนไทยร่วมแคมเปญ “ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง” เพื่อสร้างสังคมแห่งการรับฟัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คุณเคยรู้สึกเหงา หรือโดดเดี่ยวบ้างหรือไม่? รู้หรือไม่ว่า “ความเหงา” กำลังเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งมีงานวิจัย ของ Julianne Holt-Lunstad จาก Brigham Young University ชี้ว่า การที่มนุษย์มีความเหงา 1 วัน เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 15 มวน หรือการดื่มเหล้า 6 แก้วต่อวัน เลยทีเดียว และยังมีผลสำรวจความเหงาครั้งแรกของไทย เผยว่า คนไทยรู้สึกเหงาพุ่ง 83% คิดเป็นเหงามากถึง 18% โดยความเหงาอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และยังอาจนำไปสู่โรคเครียด โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรืออาจร้ายแรงไปถึงขั้นคิดสั้นจนได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตตามมาได้

จะดีกว่าไหม? หากมีคนที่พร้อมเข้าใจอยู่เคียงข้าง อยู่รับฟัง ฟังด้วยใจ ฟังแบบไม่ตัดสินใจ

ด้วยเหตุนี้เอง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้ร่วมกับธนาคารจิตอาสา และภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา เปิดตัวแคมเปญ “ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง” ในวาระเดือนการฟังแห่งชาติ เดือนพฤศจิกายน (National Month of Listening) ซึ่งได้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนในสังคมมีทักษะการ “ฟังด้วยหู ดูด้วยใจ” หวังลดปัญหาความเหงา และสร้างความเข้าใจระหว่างกัน

สสส. และภาคีเครือข่าย เปิดแคมเปญ ‘ฟังด้วยหู ดูด้วยใจ’ #ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ได้กล่าวถึง แคมเปญ “ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง” ว่า สสส. ได้สานพลังภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา กำหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็น “เดือนการฟังแห่งชาติ” โดยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของไทยในปี 2567 มีพื้นที่รับฟังเกิดขึ้น 91 แห่งทั่วประเทศ ประชาชนเข้ารับบริการรับฟังกับจิตอาสา 2,298 คน เข้าถึงสื่อการเรียนรู้สร้างทักษะการฟัง 1.7 ล้านคน จากความสำเร็จที่เกิดขึ้น ปีนี้จึงเดินหน้าจัดต่อเนื่องขึ้นเป็นปีที่ 2 จะมีกิจกรรมส่งเสริมการฟังเกิดขึ้นตลอดเดือน เพื่อกระตุ้นให้คนในสังคมได้เห็นถึงความสำคัญของการรับฟัง ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ของตนเองกับผู้อื่น ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับหลายประเทศทั่วโลกที่กำหนดให้เดือน พ.ย. เป็นเดือนแห่งการสร้างวัฒนธรรมการฟังด้วย

“จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ปี 2568 สสส. จึงเดินหน้าจัดทำแคมเปญในวาระเดือนการฟังแห่งชาติต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 กับแนวคิด “ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง” ร่วมกับธนาคารจิตอาสา และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดทำผลสำรวจความเหงาสำหรับบริบทของสังคมไทย ในกลุ่มประชาชนอายุ 18-75 ปี ขึ้นเป็นครั้งแรกของไทย”

“ใน ‘เดือนการฟังแห่งชาติ’ ครั้งนี้ สสส. ส่งเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพและความสามารถในการบริหารจัดการความรู้สึกเหงา ผ่านการเรียนรู้ทักษะการฟังด้วยตัวเอง รวมถึงสนับสนุนให้ทุกองค์กร ร่วมสร้างพื้นที่การรับฟังเชื่อมความสัมพันธ์คนในสังคม พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้เกิดสังคมสุขภาวะที่เกื้อกูลกัน”

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส.
เหงาแค่วันเดียว เทียบเท่าสูบบุหรี่ 15 มวน หรือดื่มแอลกอฮอล์ 6 แก้ว ต่อวัน เสี่ยงสุขภาพจิตพังไม่รู้ตัว! การรับฟังคือยารักษาที่ทรงพลังที่สุด

นพ.พงศ์เทพ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของความเหงาว่า “ถ้าพูดถึงความเหงา ผมว่าความเหงาที่น่ากลัวที่สุด คือความเหงาท่ามกลางผู้คน มีงานวิจัยบอกว่าความเหงาทำให้สูญเสีย Social Connection หรือการเชื่อมโยงกับสังคม ความเหงา 1 วัน อาจจะหมายถึงการสูบบุหรี่ 15 มวน หรือดื่มแอลกอฮอล์ 6 แก้วต่อวันเลย ดังนั้นยิ่งเหงามากเท่าไหร่ยิ่งทำร้ายเรามากขึ้นเท่านั้น นำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตหลายอย่าง เช่น โรคเครียด ภาวะวิตกกังวล โรคซึมเศร้า กระทบต่อสุขภาพโดยตรง และท้ายที่สุดอาจร้ายแรงถึงขั้นคิดสั้นทำร้ายตัวเอง”

“เพราะความเหงาเกิดจากการที่รู้สึกว่าเราไม่สามารถเชื่อมโยงกับสังคมได้ เกิดจากความรู้สึกไม่มีค่า ไม่เก่งพอ ไม่ดีพอ แน่นอนว่าสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ต้องตัดสินว่าคนนั้นเก่ง คนนี้ไม่เก่ง คนนี้ดี คนนี้ไม่ดี คนนี้รายได้ดี คนนี้รายได้ไม่ดี ในโซเชียลเห็นคนนี้กินอาหารหรู คนนี้ไปต่างประเทศ ทำให้ทุกคนก็ตัดสินตัวเองว่าฉันดี ฉันไม่ดี พอรู้สึกตัวเองไม่มีค่า ไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ก็เกิดความเหงาครอบงำ ทำให้ไม่อยากไปพบปะใคร การที่เราสามารถเข้าไปรับฟังเขา โดยปีนี้ธนาคารจิตอาสาได้เชิญชวนคนที่มีจิตอาสาลองไปรับฟังคนต่าง ๆ อาจจะเป็นคนที่เดินอยู่บริเวณท้องถนน คนที่อยู่รอบข้าง คนที่เป็นญาติมิตร คนรู้จัก แล้วมีทักษะการฟัง โดยใช้คำว่าฟังด้วยหู ดูด้วยใจ ไม่ตัดสิน การมีทักษะตรงนี้จะทำให้เราสามารถจะเชื่อมโยงกับคนรอบข้าง กับคนที่เราไม่รู้จักได้ และเมื่อเราได้เชื่อมโยงกันและเห็นคุณค่าที่จะรับฟังเรื่องราวของเขา ก็จะทำให้มีความสุขมากขึ้น”

“ดังนั้น ทักษะการฟังสำคัญนะครับ การฟังคือการให้เกียรติ การเห็นคุณค่าคนที่อยู่ตรงหน้า เป็นการส่งพลังให้เรารู้สึกว่าเราเคารพในความเห็น ในความคิดของคนตรงหน้า แล้วดูด้วยใจ ดูด้วยความรู้สึก ที่มันสัมผัสได้ รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าเขาเป็นอย่างไรในขณะพูด เขาเศร้า เสียใจ ดีใจ คึกคัก หรือรู้สึกอย่างไร และสิ่งสำคัญคือต้องไม่ตัดสินครับ ซึ่งผมมองว่าการฟังมันมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้”
​​
เปิดผลวิจัยมาตรวัดความเหงาครั้งแรกของไทย
พบคนไทยรู้สึกเหงาสูงถึง 83% พนักงานออฟฟิศมีความเหงาสูงที่สุด และที่น่าตกใจคนไทย 1 ใน 5 รู้สึกว่า AI สามารถให้คำปรึกษาได้ดีกว่าคนในครอบครัว และเพื่อน​

รศ.ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้ช่วยคณบดีและอาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า งานวิจัยมาตรวัดความเหงาได้จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งได้เก็บกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 864 คน หลากหลายเพศ อายุ สถานภาพ การศึกษา อาชีพ รายได้ โดยใช้แบบวัดความเหงา UCLA Loneliness Scale V.3 ที่นำมาปรับดัดแปลงเป็นฉบับภาษาไทย ตรวจสอบคุณภาพด้วย EFA และ CFA เพื่อให้เหมาะกับสังคมไทย นำไปเก็บข้อมูล ซึ่งมั่นใจได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพ

โดยจากผลการสำรวจฯ ได้พบว่า คนไทยมีความเหงาสูงถึง 83% โดยแยกเป็นเหงามาก 18% เหงาปานกลาง 65% เหงาน้อย 17% สาเหตุจากการขาดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงทั้งทางจิตใจและสังคม กลุ่มที่เสี่ยงต่อความเหงามากที่สุด คือ คนที่พักอาศัยอยู่ตามลำพัง คนที่พักอาศัยในเขตเมือง และคนที่มีปัญหาสุขภาพ เมื่อวิเคราะห์ตามกลุ่มอาชีพ พบว่า พนักงานออฟฟิศมีความเหงาสูงที่สุด อีกทั้งในงานวิจัยมีข้อมูลที่น่าสนใจ พบว่า คนไทย 1 ใน 5 รู้สึกว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) สามารถให้คำปรึกษาได้ดีกว่าคนในครอบครัว และเพื่อน อาจเป็นเพราะ AI สามารถรับฟังแบบไม่ตัดสิน และแสดงความเห็นอกเห็นใจได้ตรงใจกว่า


“จากการเก็บข้อมูลตัวอย่างจาก 864 คน พบการสำรวจว่าความเหงาไม่เลือกอายุ เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพ รายได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศไหน วัยไหน เรียนสูงแค่ไหน แต่งงานแล้ว โสด หย่าร้าง เงินเดือนมาก เงินเดือนน้อยก็เหงาได้ จริง ๆ ทั่วโลก ความเหงาถือเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกคนได้ เพราะว่าเราถูก default มาว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสังคม เมื่อไหร่ก็ตามที่บอกว่าเราถูกตัดขาดจากสังคม แสดงว่าความเหงาเกิดขึ้นโดยทันที ความเหงาถือเป็นอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการที่เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราถูกขาดสะบั้นลงจากคนรอบข้าง เป็นความรู้สึกที่เราถูกออกห่าง ตัดขาดจากสิ่งแวดล้อม จากคนรอบข้าง ยิ่งเรามีความรู้สึกผูกพัน มีความต้องการ ณ ระดับหนึ่ง แต่ความต้องการนั้นไม่ได้รับการตอบสนองก็จะเกิดเป็นความเหงาขึ้นมา ความเหงาเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่สัมพันธ์กับตัวเราเองจริง ๆ ซึ่งไม่ได้สัมพันธ์กับจำนวนคนรอบข้าง เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีหัวใจเต้นเหมือนมนุษย์ปกติ เราเหงาแน่ ๆ ครับ เพียงแต่ว่าความเหงาจะมากหรือน้อย จนกลายเป็นลักษณะ Clinical Loneliness หรือความเหงาที่เป็นความเจ็บป่วยหรือไม่”

รศ.ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้ช่วยคณบดีและอาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ดร.สมบุญ ยังกล่าวต่ออีกว่า “ความเหงาเป็นเหมือน NCDs ทางด้านจิตใจ มันยังไม่ได้เป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้าก็จริง แต่ถ้าเราไม่จัดการ เราไม่ช่วยเหลือ คนที่มีความเหงาปานกลางก็อาจจะกลายเป็นคนที่มีความเหงามากก็ได้ โดยเรามีความคาดหวังว่าสังคมไทยจะเหงาน้อยลงด้วยการดูแลใจ และ Connect กัน ผมในฐานะนักจิตวิทยาก็อยากจะชี้นำสังคมว่าเราจะจัดการกับความเหงาได้อย่างไร ซึ่งการลดความเหงา ได้แก่ Social Support การสนับสนุนทางสังคม, Self-regulation การกำกับตัวเอง, Volunteering การทำกิจกรรมจิตอาสา และ Meaning in Life ความหมายในชีวิต เป็น 4 ตัวที่ช่วยให้ความเหงา ความโดดเดี่ยวน้อยลง แล้วเราจะเกิดสุขภาวะทางปัญญา นั่นก็คือ สุขภาวะ (ความสุข) ที่เกิดจากการรู้จัก เข้าใจตนเอง และชีวิต เห็นความเชื่อมโยงกับผู้อื่น โลก และธรรมชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมสร้างสังคมเกื้อกูลกัน”

ตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ ชวนคนไทย “ฟังด้วยใจ”
เติมพลังใจ ลดความเหงา สร้างทักษะการฟังสู่สุขภาวะทางปัญญา

ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา ได้กล่าวถึง แคมเปญเดือนการฟังแห่งชาติ ปีที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ว่า ปีนี้ได้จัดแคมเปญชื่อว่า ‘ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง’ เพราะเชื่อว่าการฟังจะช่วยทำให้ปัญหาใหญ่กลายเป็นปัญหาเล็ก และทำให้ปัญหาเล็ก ๆ หายไปได้ ซึ่งการฟังช่วยได้ทั้งการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีคลี่คลายมากขึ้น

“ความเหงาคือประตูตั้งต้นที่ทำให้มีโอกาสนำไปสู่ความเครียด ซึมเศร้า แพนิก วิตกกังวล และนำไปสู่การทำร้ายตัวเองได้ ความเหงาเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น เป็นความรู้สึกเป็นอารมณ์ลบที่มีด้านใน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงว่า จะทำอย่างไรที่เราจะจับสัญญาณตรงนี้แล้วช่วยกันดูแล ความเหงาไม่ใช่เรื่องของคน ๆ เดียว แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องเข้ามาช่วยเหลือดูแลกัน”

ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา
โดยตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน จะมีกิจกรรมสร้างทักษะการรับฟัง ให้พร้อมรับมือกับความรู้สึกเหงา เข้าถึงความสุขที่เกิดจากการเชื่อมโยงกับตนเอง โลก และธรรมชาติ ซึ่งก็คือ เข้าถึงสุขภาวะทางปัญญา (spiritual health) การฟังเป็นจุดเริ่มต้นง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้เพื่อเข้าสู่ความสุข เป็นพื้นฐานให้ได้รู้จักตัวเองซึ่งนำไปสู่ความสามารถในการดูแลผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษา (consult) การเป็นพี่เลี้ยง (mentor) หรือแม้แต่การเป็นเพื่อนร่วมรับฟังทุกข์สุข โดยกิจกรรมมี 2 รูปแบบ ได้แก่

1. กิจกรรมสร้างทักษะและการรับฟัง สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเข้าไปที่เว็บไซต์เดือนการฟังแห่งชาติ https://Listen.HappinessisThailand.com เริ่มทำแบบทดสอบเพื่อสังเกตพฤติกรรมการรับฟังของตัวเองว่าเป็นแบบไหน และประเมินศักยภาพทักษะที่ต้องเรียนรู้ ซึ่งเว็บไซต์ได้จัดเตรียมเนื้อหารูปแบบ e-Learning, เกมฝึกฟัง “Listenian Game” และ “e-book ฟังสร้างสุข” สำหรับเพิ่มทักษะการฟังและการฝึกฟังในรูปแบบการมีส่วนร่วมผ่านประสบการณ์จริง (interactive) และชวนให้ไปฟังเพื่อช่วยเหลือคนอื่น จากนั้นร่วมสะท้อนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นผ่านการแสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์

2. กิจกรรมสร้างพื้นที่รับฟังของแต่ละองค์กร ธนาคารจิตอาสา ร่วมกับ สสส. พัฒนานวัตกรรมการ์ดฟังสร้างสุข (Listenian Card) เป็นเครื่องมือเพิ่มทักษะการฟังเบื้องต้น การรู้เท่าทันความคิด ไปจนถึงการใส่ใจความรู้สึก ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชน นำนวัตกรรม Listenian Card ไปใช้ในการพัฒนากิจกรรมสร้างพื้นที่แห่งการรับฟัง ให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมขององค์กร รวมถึงใช้ในการสำรวจความสัมพันธ์ของคนในองค์กรที่ต้องเริ่มต้นด้วยการรับฟังซึ่งกันและกัน


โดย Listenian Card สามารถเล่นได้ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป เล่นได้ตั้งแต่ 2-4 คน เป็นการชวนล้อมวงนั่งเปิดการ์ดไปทีละใบ ทีละขั้นตอน ผ่านคำถามและแนวปฏิบัติที่อยู่ในการ์ด สามารถใช้การ์ดทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ ๆ หรือเชื่อมผู้พูดกับผู้ฟังเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ฟังเสียงของกันและกันให้มากขึ้น การ์ดชุดนี้ได้พัฒนาขึ้นโดยธนาคารจิตอาสา จำหน่ายในรูปแบบพิเศษ โดยการซื้อ 1 ครั้ง จะได้รับ 2 ชุด มอบให้ตนเอง 1 ชุด และส่งต่ออีก 1 ชุดให้กับโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนมัธยมศึกษาได้ใช้เล่นและพัฒนาทักษะการฟังอีกด้วย

“ตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่าจะมีองค์กรร่วมสร้างพื้นที่เรียนรู้การฟังไม่น้อยกว่า 100 แห่ง ทั้งนี้ สำหรับประชาชนและองค์กรที่ต้องการใช้นวัตกรรมการ์ดฟังสร้างสุข สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ความสุขประเทศไทย’” ดร.สรยุทธ กล่าว

ด้านนางสาวมณฑล กสานติกุล หรือมิ้นท์ อินฟลูเอนเซอร์สายท่องเที่ยวชื่อดัง จากช่องยูทูบ ‘I Roam Alone’ ได้มาเข้าร่วมแคมเปญนี้ กล่าวว่า ความเหงาเกิดจากการที่เราปิดกั้นตัวเอง และตัดขาดจากโลกภายนอก แต่หากมองจากภาพความเป็นจริงจะพบว่า เราไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง เรายังแบ่งอากาศร่วมหายใจกับทุกคน ร่างกายเรายังเชื่อมโยงกับทุกอย่างบนโลกใบนี้

“มิ้นท์มองว่าความเหงามันระบาดไปทั่วโลก ไปอยู่ที่ไหนก็จะพบกับความเหงามากขึ้น ส่วนตัวมิ้นท์เคยเป็นคนเหงามาก ๆ เวลาที่เราเหงา เราก็มาสังเกตตัวเองว่าเกิดจากอะไร เพราะเราเองเลือกที่จะตัดขาดจากทุกอย่าง แล้วมองเห็นว่าตัวเองอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ คนอาจมองว่าเราไม่น่าจะเหงาด้วยซ้ำเพราะว่าเดินทางตลอด ชีวิตเราดูสนุกสนานมาก เราเจอคนเยอะ แต่จริง ๆ แล้วมันกลายเป็นว่าเวลาที่เราไม่ได้จะ Self-Regulate เราเหงา พอเหงา ก็ออกไปเจอเพื่อน ออกไปทำนู่นทำนี่ แต่สุดท้ายความเหงาก็ไม่ได้หายไปไหน มันก็กลับมาอีกอยู่ดี มันกลายเป็นว่าข้างในเราเป็นตัวสะท้อนทุกอย่างจริง ๆ”

นางสาวมณฑล กสานติกุล หรือมิ้นท์ อินฟลูเอนเซอร์จากช่องยูทูบ ‘I Roam Alone’
“ตอนนี้ถือว่าดีมาก เราแทบจะไม่เหงาอีกเลย ตั้งแต่ที่เลิกเหงามามันดีมาก ๆ มิ้นท์ได้ค้นพบว่าจริง ๆ แล้ว เรารู้สึกว่าเราเชื่อมโยงกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ถึงแม้เราจะอยู่ตรงนี้ ลมหายใจเราก็ยังเชื่อมโยง ในอากาศตอนนี้ เรายังแบ่งปันลมหายใจกันด้วยซ้ำ พอเรารู้แบบนี้ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้เลย อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นไหมว่าเรามีความเชื่อมโยงกับทุกอย่าง พอเราเชื่อมโยงกับทุกอย่าง ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ ก็เลยไม่ได้มองว่าเราต้องออกไปเทขยะในใจเราให้กับใคร เราอาศัยรีไซเคิลด้วยตัวเอง และเราก็ไม่ผลิตขยะในใจออกมาที่ทำให้รู้สึกเหงาหรือรู้สึกโดดเดี่ยว”

มิ้นท์ ‘I Roam Alone’ ยังได้กล่าวอีกว่า อยากให้ทุกคนสังเกตอารมณ์และบริหารจัดการความคิดของตัวเอง ไม่ปล่อยให้ความเหงาส่งผลกระทบต่อสุขภาพใจ ถ้าทุกคนมองเห็นตัวเองเชื่อมโยงกับทุกสิ่งรอบตัว ความเหงาจะอยู่แค่ในความคิดแต่จะไม่สามารถออกมาทำร้ายตัวเราได้ ในโอกาสเดือนการฟังแห่งชาติ อยากขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมสร้างทักษะการฟังด้วยกัน มิ้นท์เชื่อมั่นว่าทุกปัญหาสามารถดีขึ้นได้ด้วยการรับฟัง

“เดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ อยากจะเชิญชวนให้ทุกคนในสังคมมารับฟังกันให้มากขึ้น เพราะการฟังเป็นทักษะของการให้เกียรติ การเห็นคุณค่า อีกทั้งยังช่วยเยียวยาปัญหาต่าง ๆ ได้ ดังนั้นถ้าเราทำให้สังคมเป็นสังคมที่เอื้ออาทรกัน ลดความเหงาของเพื่อนร่วมงาน ลดความเหงาของคนใกล้ชิด โดยเฉพาะกับคนที่คุณรัก นั่นเป็นพลังที่สำคัญที่สุด เริ่มต้นด้วยการรับฟังอย่างไม่ตัดสิน รับฟังอย่างตั้งใจ แล้วสัมผัสด้วยใจ ซึ่งจะทำให้สังคมเชื่อมโยงกันมากขึ้น Social Connection ดีขึ้น ทำให้ความเหงาในสังคมไทยลดน้อยลง และนำพาผู้คนไปพบกับความสุขทางสุขภาวะทางปัญญาได้” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม












กำลังโหลดความคิดเห็น