ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารและบริการสาธารณะส่วนใหญ่ย้ายเข้าสู่โลกออนไลน์ คำถามสำคัญที่ทุกสังคมต้องตอบคือ “ทุกคนเข้าถึงได้จริงหรือไม่?” โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคนพิการที่ยังเผชิญช่องว่างทางดิจิทัล (Digital Divide) ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ ไปตลอดจนสุขภาพ เพราะการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียมจะช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม
เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความเท่าเทียมทางดิจิทัล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ร่วมกับมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย จัดเวทีสัมมนาสาธารณะ “ขับเคลื่อนมาตรฐานเว็บไซต์ WCAG เพื่อการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากดิจิทัลอย่างสะดวกถ้วนหน้า” โดยเน้นย้ำความสำคัญของ มาตรฐานการพัฒนาเว็บไซต์และ Mobile Application เพื่อทุกคนเข้าถึงได้ หรือ WCAG ไม่ใช่แค่ผู้ใช้งานทั่วไป แต่ครอบคลุมถึงกลุ่มคนพิการ เช่น ผู้พิการทางการมองเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว และผู้ที่มีข้อจำกัดทางสติปัญญา
สังคมออนไลน์กับช่องว่างที่ซ่อนอยู่
นางญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้พิการจำนวนกว่า 2,280,000 คน คิดเป็นประมาณ 3.45% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้ยังมีผู้พิการจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา การทำงาน การเงิน และการดูแลสุขภาพ ดังนั้น คำถามสำคัญสำหรับสังคมไทยคือจะดำเนินการอย่างไรเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงดิจิทัลอย่างถ้วนหน้า
ที่ผ่านมา สสส. และภาคีเครือข่ายมุ่งเน้นในการร่วมขับเคลื่อนตั้งแต่การวิจัยเพื่อพัฒนาแนวทางการขับเคลื่อนงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลแล้วก็ระบบสื่อเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งจากผลการศึกษาก็พบว่า ตัวชี้วัดความเหลื่อมล้ำทางดิจิตอลหรือความเสมอภาคทางดิจิทัล สรุปง่าย ๆ เป็น 4A ก็ประกอบด้วย การเข้าถึง (Accessibility) ทัศนคติในการใช้ดิจิทัล (Attitude) ความสามารถในการจ่าย (Affordability) และ ความสามารถในการใช้ดิจิทัล หรือ Ability แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ E หรือ Ecosystem หรือการเข้าถึงนิเวศสื่อดิจิทัล
“สสส. ขับเคลื่อนงานลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลของคนพิการ และหนุนการเข้าถึงระบบดิจิทัลในการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างความร่วมมือระดับนโยบาย มีแนวทางการทำงาน 4 ด้าน ได้แก่ 1.เดินหน้าสานพลังหน่วยงานระดับนโยบาย ผลักดันให้บรรจุมาตรฐาน WCAG ในแผนงานขององค์กร 2.พัฒนาบุคลากรภาครัฐและเอกชนที่ดูแลด้านเว็บไซต์ ด้วยคู่มือ TWCAG 2025 3.ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ตรวจสอบคุณภาพเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จริง 4.อบรมคนพิการให้มีทักษะรู้เท่าทันสื่อ พร้อมเป็นผู้ตรวจทดสอบหรือรับรองมาตรฐาน WCAG”
“เพราะฉะนั้นการจัดงานเวทีในครั้งนี้ก็ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกันหลายหน่วยงานในวันนี้กว่า 30 องค์กรที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อที่จะไปยกระดับมาตรฐานเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เข้าถึงได้ โดยเฉพาะให้กลุ่มคนพิการได้เข้าถึงองค์ความรู้หรือข้อมูลสำคัญที่เว็บไซต์องค์กรของท่านออกแบบขึ้น” นางญาณี กล่าว
นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการ สำนักงานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า การออกแบบระบบดิจิทัลในยุคปัจจุบันไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือ “การคุ้มครองสิทธิ” ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ หากบริการหรือแพลตฟอร์มดิจิทัลไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ถือเป็นการตัดโอกาสสำคัญในการใช้ชีวิต การศึกษา และบริการสาธารณะ มาตรฐานสากลอย่าง WCAG และแนวทาง TWCAG 2025 ที่พัฒนาให้เหมาะกับบริบทไทย เป็นก้าวสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันผลักดัน เพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง
ขณะที่ ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กล่าวว่า มูลนิธิฯ ร่วมกับ สสส. และคณะทำงานมาตรฐานเว็บไซต์ไทย ขับเคลื่อนสังคมดิจิทัลที่ทุกคนเข้าถึงได้ ผ่านมาตรการดำเนินงาน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 มุ่งสร้างความตระหนักรู้ในสังคม ผ่านการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ พัฒนาหลักสูตรอบรม และจัดตั้งกลไกประเมินเว็บไซต์ตามแนวทาง WCAG ระยะที่ 2 ผลักดันกฎหมายและข้อกำหนด ให้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของภาครัฐและเอกชน ต้องผ่านเกณฑ์การเข้าถึงมาตรฐานระดับประเทศ กำหนดมาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐเป็นต้นแบบในการออกแบบเว็บไซต์สำหรับคนพิการอย่างเป็นระบบ และขยายผลในหน่วยงานระดับท้องถิ่น ระยะที่ 3 พัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับคนพิการ พร้อมส่งเสริมให้มีส่วนร่วมออกแบบบริการดิจิทัล (Co-Design) ที่สอดคล้องกับประสบการณ์การใช้งานจริง และสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
อีกหนึ่งภาคีเครือข่ายอย่าง ดร.ธีรวัฒน์ โรจนไพฑูรย์ ผู้เชี่ยวชาญมาตรฐานดิจิทัลภาครัฐ ฝ่ายมาตรฐานดิจิทัลภาครัฐ สพร. กล่าวว่า ปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น มีเว็บไซต์จำนวนหลายหมื่นแห่งเพื่อเผยแพร่ข้อมูลและให้บริการแก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม แนวทางการพัฒนาเว็บไซต์ของแต่ละหน่วยงานยังมีความแตกต่างกันอย่างมาก ส่งผลให้เกิดปัญหาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหาที่ไม่ครบถ้วน ขาดโครงสร้างที่ชัดเจน การนำทางที่ยุ่งยาก และความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
เพื่อแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว สพร. ได้จัดทำ มาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ เวอร์ชัน 3.0 ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ และแนวปฏิบัติใหม่ที่เกี่ยวข้อง โดย เวอร์ชัน 3.0 ได้เพิ่มเติมข้อกำหนดสำคัญหลายด้าน เช่น การกำหนดชื่อโดเมน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงง่าย แนะนำให้หน่วยงานใช้ชื่อที่เป็นทางการ เช่น go.th สำหรับหน่วยงานภาครัฐ or.th สำหรับองค์กรของรัฐ และ ac.th สำหรับสถาบันการศึกษา ความปลอดภัย โดยแนะนำการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัส เพื่อป้องกันการถูกปลอมแปลงหรือลอกเลียนแบบ รวมถึงแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย ข้อมูลพื้นฐาน เว็บไซต์ภาครัฐควรมีข้อมูลพื้นฐานครบถ้วน เช่น ประวัติหน่วยงาน ข้อมูลบริการ ข้อมูลเปิดภาครัฐ แผนผังเว็บไซต์ หรือแผนที่ออนไลน์ เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย รวมทั้ง การเปิดเผยข้อมูล เพื่อการดำเนินงานอย่างโปร่งใส
“รวมทั้ง คุณลักษณะเพื่อการเข้าถึง (Accessibility) ยึดตามมาตรฐาน WCAG ซึ่งครอบคลุม 4 หลักการ ได้แก่ การรับรู้ได้ (Perceivable) การใช้งานได้ (Operable) การเข้าใจได้ (Understandable) และความทนทาน (Robust) ทั้งนี้ รวมถึงการพัฒนาเอกสาร Accessible PDF เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตา การรองรับเทคโนโลยีใหม่ และ รูปแบบแสดงผลในอุปกรณ์ (Mobile Device) รูปแบบการแสดงผลของเว็บไซต์ ที่ต้องสามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายอุปกรณ์ ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์”
“นอกจากนี้เว็บไซต์ภาครัฐควรมีฟังก์ชันที่ครบถ้วน เช่น ระบบค้นหาที่สะดวก รวดเร็ว และรองรับการปรับแต่งข้อมูลเฉพาะบุคคล (Personalization) เพื่อให้บริการและข้อมูลตรงตามความต้องการของผู้ใช้โดยตรง อีกทั้งควรมี การเก็บและวิเคราะห์สถิติการใช้งาน เพื่อนำข้อมูลเชิงลึกไปใช้ในการปรับปรุงและแก้ไขจุดบกพร่องของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการประชาชน”
ขณะที่ในด้าน ความมั่นคงปลอดภัย (Web Security) ดร.ธีรวัฒน์เน้นว่า เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเว็บไซต์ภาครัฐ ทุกหน่วยงานจำเป็นต้องจัดทำมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อคุ้มครองข้อมูลของประชาชน และป้องกันความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
นอกจากนั้น ดร.บริสุทธิ์ ผดุงโภคสูริย์ คณะอนุกรรมการการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและสิ่งอำนวยความสะดวก สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เสริมในช่วงท้ายว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยมีความพยายามในการพัฒนาเว็บไซต์และบริการดิจิทัลเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้โดยตรง จึงทำให้ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การสร้างความตระหนักรู้และการเผยแพร่ความรู้แก่หน่วยงาน ก็ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้ สำหรับใครที่สนใจพัฒนาเว็บไซต์ สมาคมฯ เปิดโอกาสให้หน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ เข้าปรึกษากับฝ่ายไอที ซึ่งมีบุคคลากรที่สามารถให้คำแนะนำด้านการปรับปรุงให้ใช้งานได้จริง
สุดท้ายแล้ว การยกระดับมาตรฐานเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และสร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูล บริการ และทรัพยากรดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งความเท่าเทียมนี้ไม่ได้ช่วยเพียงผู้พิการหรือกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างพื้นฐานของสังคมที่มีสุขภาวะที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนอีกด้วย