xs
xsm
sm
md
lg

การผ่าตัด Endoscopic Discectomy และ Foraminotomy ในภาวะหมอนรองกระดูกคอเคลื่อน (Cervical Disc Herniation/CSR)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การดูแลกระดูกมีความสำคัญในทุกช่วงวัย แต่จะแตกต่างกันตามอายุและสภาพของร่างกาย กระดูกเป็นที่สะสมและจ่ายแคลเซียมให้กับร่างกาย มวลกระดูกมีการสลายและสร้างทดแทน ตลอดเวลา การมีมวลกระดูกต่ำและมีความหนาแน่นน้อยร่วมกับมีการเสื่อมสภาพของโครงสร้างระดับจุลภาค จะส่งผลให้กระดูกเปราะบางแตกหักง่าย อันเป็นลักษณะของโรคกระดูกพรุน การดูแลกระดูกให้แข็งแรงมี ความสำคัญในทุกช่วงวัยเนื่องจากการสร้างมวลกระดูกจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น หลังจากนั้นมวลกระดูกจะคงที่และค่อยๆ ลดลงตามอายุที่มากขึ้น ดังนั้นการดูแลให้กระดูกแข็งแรงจึงต้องเริ่ม ตั้งแต่เนิ่นๆ หากสร้างมวลกระดูกได้น้อยในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิตและดูแลรักษาไม่ดีพอในช่วงวัยกลางของ ชีวิตจะส่งผลต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนในช่วงวัยปลายของชีวิต นอกจากนั้น ยังก่อให้เกิดอีกหลายโรคที่เกี่ยวกับกระดูก เช่น ภาวะหมอนรองกระดูกคอเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือที่เรียกว่า Cervical Spondylosis Radiculopathy (CSR) *** (อธิบายไม่ถูกครับและไม่เกี่ยวกับกระดูกคอเสื่อมครับ ให้แก้ใหม่บอกได้ครับ ผมลองแทรกบทนำมาให้ดูนะครับ
โรคกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท (Cervical Spondylotic Radiculopathy) เป็นภาวะที่เกิดจากกระดูกสันหลังส่วนคอ (กระดูกคอ หรือ cervical spine) เกิดการเสื่อมตามวัยหรือจากการใช้งาน ส่งผลให้เกิดแรงกดเบียดรากประสาทที่ออกจากไขสันหลัง ทำให้มีอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงตามแขนหรือมือ
สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับ "พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน"
พฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันมีส่วนสำคัญที่เร่งให้เกิดการเสื่อมของกระดูกคอเร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ใช้เทคโนโลยีและท่านั่งทำงานแบบซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
1. ท่าทางการใช้งานคอที่ไม่เหมาะสม
•ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ (Text Neck): ทำให้กระดูกคอรับน้ำหนักมากกว่าปกติ และเสื่อมเร็ว
•นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานโดยไม่เปลี่ยนท่า: การก้มหรือเงยเป็นเวลานาน ส่งผลต่อการสึกของหมอนรองกระดูกและข้อคอ
•นั่งขับรถหรือเล่นมือถือในท่าเอนหลัง-งอคอ: ทำให้เกิดแรงกดที่แนวกระดูกคอซ้ำ ๆ
2. การขาดการออกกำลังกาย
•ไม่ออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อคออ่อนแรง ขาดการพยุงแนวกระดูกคอ
•เลือดไปเลี้ยงกระดูกและหมอนรองกระดูกได้น้อยลง ส่งผลให้เสื่อมเร็วขึ้น
3. การทำงานที่มีการแบกของหรือยกของหนัก
•การแบกของบนบ่าหรือยกของในท่าที่ผิด เช่น ใช้คอรับน้ำหนัก ทำให้แรงกดทับลงไปที่กระดูกคอมากผิดปกติ
4. การนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม
•นอนหมอนสูงหรือต่ำเกินไป / นอนคอเอียง ส่งผลให้กระดูกคออยู่ในท่าที่ไม่เป็นธรรมชาติ
5. อายุและความเสื่อมตามวัย
•กระดูกคอ หมอนรองกระดูก และข้อเล็ก ๆ ระหว่างกระดูกเริ่มเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น โดยเริ่มพบได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป
•พฤติกรรมประจำวันสามารถเร่งหรือชะลอการเสื่อมนี้ได้

นายแพทย์พัลลภ ถิระวานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ภาวะหมอนรองกระดูกคอเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือที่เรียกว่า Cervical Spondylosis Radiculopathy (CSR) เป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้ป่วยกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม ซึ่งมีอาการปวดคอร้าวลงแขน ชา หรืออ่อนแรงตามแนวเส้นประสาทสันหลังส่วนคอ สาเหตุหลักมาจาก หมอนรองกระดูกเคลื่อน กระดูกงอกจากข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนคอ และภาวะการตีบแคบของรูประสาท การรักษาเบื้องต้นมักเริ่มจากการใช้วิธีไม่ผ่าตัด เช่น การปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำกายภาพบำบัด การรับประทานยาแก้ปวด และยาปลายประสาท หรือการฉีดยาลดการอักเสบบริเวณเส้นประสาท แต่หากอาการไม่ดีขึ้นในระยะเวลา 12 สัปดาห์ ขึ้นไป การผ่าตัดจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

สำหรับแนวทางการผ่าตัด การผ่าตัดแบบ Endoscopic Cervical Discectomy หรือ Foraminotomy เป็นแนวทางการผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบแผลเล็ก (Minimally invasive spine surgery) ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดแรงกดต่อเส้นประสาทโดยการใช้กล้องเอนโดสโคปผ่านแผลขนาดเล็กเพื่อเข้าถึงหมอนรองกระดูกหรือรูประสาทที่แคบลง โดยสามารถแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่: Percutaneous Endoscopic Cervical Discectomy (PECD): เข้าทางด้านหลังเพื่อเอาหมอนรองกระดูกส่วนที่กดทับเส้นประสาทออก และPosterior Endoscopic Cervical Foraminotomy (PECF): เข้าทางด้านหลังเพื่อขยายโพรงประสาท เพื่อลดแรงกดต่อเส้นประสาท

ผู้ป่วยที่เหมาะสมกับการรักษาคือ ผู้ป่วยที่มีหมอนรองกระดูกคอเคลื่อน 1-2 ระดับ โดยไม่มีภาวะไม่มั่นคงของกระดูกผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด และสามารถใช้กับภาวะ foraminal stenosis หรือ soft disc herniation ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง มีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่มีหินปูนเกาะหมอนรองกระดูกส่วนคอ (Disc calcification) , ภาวะกระดูกส่วนคองอผิดรูป (Cervical kyphosis) ,มีภาวะไม่มั่นคงของกระดูกคอ (Cervical instability) หรือผู้ป่วยทีมีอาการปวดคออย่างเดียว (Severe axial neck pain)

ในส่วนประโยชน์ของการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ช่วยลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง: มีการตัดกล้ามเนื้อน้อยกว่า ลดอาการปวดหลังผ่าตัด การอนุรักษ์การเคลื่อนไหวของข้อ: ไม่จำเป็นต้องเชื่อมข้อกระดูก ทำให้ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของคอ ลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเปิด เช่น กลืนลำบาก เสียงแหบ หรือกระดูกข้างเคียงเสื่อมเร็ว ผู้ป่วยมักกลับบ้านได้ภายใน 1–2 วันหลังผ่าตัด ส่วนผลลัพธ์การรักษาใกล้เคียงกับ ACDF (Anterior Cervical Discectomy and Fusion) ที่เป็นการผ่าตัดแบบมาตรฐานในปัจจุบัน แต่ลดค่าใช้จ่ายและผลข้างเคียงในระยะยาว

นายแพทย์พัลลภ ถิระวานิช กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การผ่าตัดส่องกล้องผ่านทางด้านหลังในผู้ป่วยที่มีภาวะหมอนรองกระดูกคอเคลื่อนหรือรูประสาทแคบเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และช่วยลดผลข้างเคียงเมื่อเทียบกับการผ่าตัดเปิดแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดลักษณะนี้ควรกระทำในศูนย์ที่มีความชำนาญและทีมศัลยแพทย์ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างเพียงพอ ทั้งนี้รายละเอียดในเรื่องของการเลือกผู้ป่วย การใช้เครื่องมือการผ่าตัด เทคนิคการผ่าตัด อยู่ที่ความรุนแรงของโรค ร่างกายของผู้ป่วย และดุลยพินิจของแพทย์






กำลังโหลดความคิดเห็น