• ประเทศไทยยังเผชิญกับสถานการณ์โรคไข้เลือดออกที่น่าเป็นห่วง โดยยอดผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจำนวนผู้เสียชีวิตก็มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
• ปัจจุบัน ยังไม่มียาต้านไวรัสหรือยารักษาโรคไข้เลือดออกแบบเฉพาะเจาะจง แต่จะเป็นการรักษาตามอาการเพื่อป้องกันการเสียชีวิต
• เมื่อสงสัยว่าป่วยเป็นไข้เลือดออก ห้ามใช้ยาต้านการอักเสบในกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน ซึ่งอาจทำให้มีอาการเลือดออกรุนแรง
• การป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างยั่งยืนสามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นการป้องกันส่วนบุคคลที่ดีที่สุด ควบคู่กับการกำจัดแหล่งยุงเกิด เช่นเก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ ทายากันยุง ซึ่งเป็นการป้องกันทั้งชุมชน
กรุงเทพฯ – 8 สิงหาคม 2568 – กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมด้วยแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กรุงเทพมหานคร สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมนักบริหารโรงพยาบาลประเทศไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทย ในนามกลุ่มความร่วมมือ Dengue-zero จัดงานแถลงข่าว “ยอดไข้เลือดออกพุ่ง หยุดข่าวร้ายด้วยการป้องกัน” กระตุ้นให้ประชาชนร่วมป้องกันโรคไข้เลือดออกแบบเชิงรุก เพื่อลดความสูญเสียจากโรคที่ป้องกันได้ เร่งเดินหน้าใช้ 4 มาตรการ รับมือการระบาดในทุกพื้นที่ และย้ำเตือนประชาชนว่าไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้ตลอดปีและทุกคนมีความเสี่ยง ไม่จำกัดเพศหรือวัย โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวอาจจะเสี่ยงอาการรุนแรงสูงหากป่วย พร้อมแนะนำการฉีดวัคซีนซึ่งเป็นมาตรการส่วนบุคคลที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก ที่ทำควบคู่กับมาตราการต่างๆ เกี่ยวกับยุงพาหะเพื่อป้องกันโรคในชุมชน
นพ. สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในนามผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “การป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ใช่แค่การตอบโต้เมื่อเกิดการระบาด แต่คือการลงทุนระยะยาวในสุขภาพของคนไทย และนี่คือจุดยืนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ยึดมั่นในพันธกิจของการ “พัฒนาและอภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน” ถึงแม้เราจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่เราสามารถลดความรุนแรง และปกป้องประชาชนและกลุ่มเสี่ยงจากโรคไข้เลือดออกได้ กระทรวงสาธารณสุขมุ่งมั่นทำงานกับทุกภาคส่วนในการให้คนไทยปลอดภัยจากโรคที่สามารถป้องกันได้อย่างไข้เลือดออก เพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างถ้วนหน้า”
พญ. วรยา เหลืองอ่อน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2571) พบผู้ป่วยปีละ 45,145 – 158,620 ราย1 โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิต 29 – 181 ราย1 และปี 2568 นี้สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 32,244 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 32 ราย2 อีกทั้งตัวเลขการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกในปีนี้กลับพุ่งสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา ขอให้ประชาชนอย่าชะล่าใจ เพราะไข้เลือดออกไม่เลือกเวลาระบาด ทุกคนสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ตลอดปี ควรตระหนักรู้การป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง ควรพบแพทย์ทันทีหากมีไข้รุนแรงโดยไม่เจ็บคอหรือไอ นอกจากนี้กองโรคติดต่อนำโดยแมลงเพิ่มเกราะป้องกันโรคให้แก่ประชาชน ด้วยการสื่อสารความเสี่ยงของโรคผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารของการระบาดและจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่อย่างทันท่วงที และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือให้อาสาสมัครสาธารณสุขเฝ้าระวังการระบาดในพื้นที่ของตนเอง พร้อมย้ำเตือนให้ชุมชนตระหนักถึงการป้องกันตนเองและครอบครัวจากโรคไข้เลือดออก”
เพื่อให้ประเทศไทยหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออกไปด้วยกัน กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่
1. เฝ้าระวังเข้มทุกพื้นที่: สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ใช้มาตรการ 3-7 วันเมื่อพบผู้ป่วย พร้อมประสานหน่วยงานท้องถิ่นและสาธารณสุขทันที
2. ควบคุมยุงร่วมกับชุมชน: ทำกิจกรรม “ถังแตก” ทุกสัปดาห์ ร่วมกับ อปท. อสม. อสส. และจิตอาสา พร้อมพ่นสารเคมีในบ้านผู้ป่วยเพื่อกำจัดยุงพาหะ
3. ตรวจรักษาเร็ว: กระจายชุดตรวจ NS1 ให้ สถานพยาบาล เพื่อวินิจฉัยไว ช่วยลดอัตราเสียชีวิต
4. สื่อสารสร้างการมีส่วนร่วม: ทำแคมเปญผ่านสื่อท้องถิ่นให้ความรู้ประชาชน พร้อมประชุมวางแผนควบคุมโรคทันทีเมื่อเกิดการระบาด และเน้นให้สถานพยาบาลหลีกเลี่ยงการใช้ยา ต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs ในผู้ป่วยต้องสงสัยไข้เลือดออก
รศ. ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานครมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเมืองให้เป็น Healthy City ที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรง เราจึงให้ความสำคัญกับการควบคุมโรคไข้เลือดออกเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในชุมชน เช่น การสำรวจแหล่งน้ำขัง การปรับปรุงภูมิทัศน์แวดล้อม และการจัด Big Cleaning Day ลงพื้นที่ร่วมกับภาคประชาชนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งกำหนดพื้นที่ปลอดลูกน้ำยุงลาย เพื่อสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ตรงจุด ขณะเดียวกัน เราให้ความสำคัญกับการสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้ร่วมกับชุมชนผ่านเครือข่าย อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) ปลูกฝังพฤติกรรมป้องกันโรคให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในกลุ่มนักเรียนและครูผ่านโครงการ Dengue-zero School Project ภายใต้ความร่วมมือ Dengue-zero ซึ่งช่วยลดดัชนีลูกน้ำยุงลายในโรงเรียนได้ตามเป้าหมาย เพราะโรคไข้เลือดออกสามารถระบาดได้ตลอดทั้งปี การควบคุม การป้องกัน และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง กรุงเทพมหานครจะเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นฟันเฟืองในการช่วยหยุดข่าวร้ายจากโรคไข้เลือดออกให้ได้อย่างยั่งยืน”
ศ.เกียรติคุณ นพ. อมร ลีลารัศมี ประธานพันธมิตร Dengue-zero กล่าวว่า “การดำเนินงานของกลุ่มพันธมิตร Dengue-zero ได้เริ่มเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ผ่านความร่วมมือเชิงรุกจากพันธมิตร 11 องค์กรที่มุ่งมั่นผลักดันให้ทุกภาคส่วนผนึกกำลังป้องกันและควบคุมการระบาดของไข้เลือดออก ถึงแม้วันนี้ ไข้เลือดออกยังคงเป็นข่าวร้ายของครอบครัวกว่าแสนราย แต่เราเชื่อว่าจะหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออกได้ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็งจึงจะสามารถขับเคลื่อนการป้องกันไข้เลือดออกได้อย่างยั่งยืน ปัจจุบัน สิ่งที่น่ากังวลคือผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออก 80% อยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ซึ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและอาการรุนแรงสูง และนำมาซึ่งการเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับผู้ที่ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบให้กับคนใกล้ชิดหรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วย ที่เรียกว่า ‘ไข้เลือดออกมือสอง’ คือการที่ต้องทรมานจากการเห็นหรือต้องดูแลคนใกล้ชิดต้องเผชิญภาวะวิกฤต การป้องกันจึงเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ทายากันยุง ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันและเลือกเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญเมื่อมีไข้แล้วอย่าซื้อยารับประทานเอง ควรไปพบแพทย์ และรับคำปรึกษาเรื่องการดูแลรักษา และป้องกันเมื่อหายป่วยให้คนในครอบครัว”
ศ. พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ช่วยป้องกันโรคและลดความเสี่ยงจากโรครุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิต การฉีดวัคซีนจึงเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่คุ้มค่า ลดอัตราการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เด็กในช่วงวัยเรียนเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาช้า อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะช็อก และเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว แต่แม้ผู้ที่แข็งแรงดีมาก่อนก็สามารถป่วยแบบรุนแรงได้ ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ มีเพียงการเฝ้าติดตามรักษาตามอาการ การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนควบคู่กับมาตรการอื่นๆ วัคซีนที่มีใช้ในปัจจุบัน ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ไม่ต้องตรวจเลือดก่อนฉีด ช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ลดความรุนแรงของโรคและอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80-90%3 วัคซีนมีความปลอดภัย โดยมีการขึ้นทะเบียนกว่า 40 ประเทศ และใช้แล้วทั่วโลกกว่า 15 ล้านโดส การฉีดวัคซีนร่วมกับมาตรการจัดการกับยุงและสิ่งแวดล้อมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค ควรปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อวางแผนป้องกันอย่างเหมาะสมทั้งครอบครัว และควรจัดการให้มีการเข้าถึงวัคซีนให้มากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน”