ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาวิตรี ทยานศิลป์
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว
สถานการณ์ของผู้สูงอายุในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจำนวนของผู้สูงอายุตามโครงสร้างทางประชากรมีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุในประเทศไทยมีอายุยืนขึ้น อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 78 ปี จะเห็นได้จากจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนที่สูงขึ้นมากกว่า 20% ของประชากรในประเทศ จึงทำให้ “ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” (Complete Aged Society)
สำหรับภาพรวมของประเทศไทยผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวขึ้นและมีสุขภาพที่ดีขึ้น ส่งผลให้สามารถที่จะช่วยเหลือตนเอง ดูแลตนเองได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปก่อนหน้าแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฯลฯ ดังนั้น ผู้สูงอายุในยุคปัจจุบันเป็นผู้สูงอายุที่ไม่ได้เป็นภาระกับครอบครัว นอกจากไม่เป็นภาระแล้วยังเป็นพลังให้แก่ครอบครัวและสังคมด้วย ดูได้จากผู้สูงอายุจำนวนมากไม่ได้เกษียณอายุในวัย 60 ปี ยังคงทำงานในสังคม ไม่ยอมอยู่บ้านเฉย ๆ ท่านยังมีกำลังและความรู้ ความสามารถหลายอย่าง ทั้งยังมีบทบาทในหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ มีบทบาทในเรื่องของการทำงานจิตอาสาเพื่อส่วนรวมและสังคมเพิ่มมากขึ้น เพราะผู้สูงอายุบางท่านอาจไม่มีภาระที่ต้องเลี้ยงดูลูกหลาน นอกจากบทบาทในระดับสังคมแล้ว ลึกลงมาในระดับครอบครัวผู้สูงอายุก็จะมีบทบาทสำคัญเช่นกัน ในเรื่องของการช่วยเหลือหรือดูแลคนในครอบครัว เรื่องของปู่ ย่า ตา ยาย เลี้ยงหลาน สำหรับสังคมไทยมีมานานแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น บทบาทความสำคัญในเรื่องของการที่ช่วยลูกในการเลี้ยงดูหลาน จึงเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น บางครอบครัวแค่ช่วยดูแลนิดหน่อย แต่บางครอบครัวปู่ ย่า ตา ยาย จะเลี้ยงหลานแบบเต็มตัวแทนพ่อแม่เลย
มีผลงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าบางทีปู่ ย่า ตา ยาย มีความรู้ในเชิงของวิชาการของการเลี้ยงดูหลานที่อาจจะไม่ค่อยทันสมัย หรือไม่สามารถอัพเดทความรู้ใหม่ ๆ ได้ ด้วยสาเหตุของการเข้าไม่ถึงข้อมูล ไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลการเลี้ยงดูได้จากแหล่งไหน หรือหน่วยงานทางวิชาการส่วนใหญ่ก็จะเน้นให้ความรู้ไปที่พ่อแม่โดยตรง ทำให้ท่านยังใช้ความรู้แบบเดิม ๆ ในการเลี้ยงดู ซึ่งความรู้แบบดั้งเดิมบางเรื่องก็ไม่ได้ผิด แต่ว่าถ้าสามารถเสริมความรู้ใหม่เข้าไปผนวกเข้าไปได้ด้วยจะทำให้ท่านมีศักยภาพเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ผู้สูงอายุของเรามีทั้งความรู้ ความเข้มแข็ง เป็นพลังที่ช่วยดูแลขับเคลื่อนครอบครัวและสังคมต่อไป
ดังนั้น นอกจากทักษะทั่วไปในการดูแลเด็กในยุคปัจจุบันที่ปู่ ย่า ตา ยาย มีอยู่แล้ว เราควรเสริมองค์ความรู้ทางวิชาการให้แก่ท่านเพิ่มมากขึ้น เน้นเรื่องขององค์ความรู้สมัยใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งนอกจากการดูแลในเรื่องทั่วไปของเด็ก เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ทานข้าว แล้วท่านจะสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในเรื่องของสติปัญญา และพัฒนาการในทุกด้านเพิ่มเติมได้ เช่น โดยไม่จำเป็นจะต้องรอพ่อแม่ นอกจากที่ผู้สูงอายุจะได้มีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กแล้ว ยังช่วยเพิ่มคุณค่าความสำคัญในตนเอง และยังช่วยชะลอความเสื่อมตามวัยลงด้วย
เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มีโครงการอบรม “Super GP” ที่มุ่งพัฒนาองค์ความรู้และศักยภาพของผู้สูงอายุในการดูแลเด็กปฐมวัยผ่านการอบรมที่เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง จัดเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1.รูปแบบออนไลน์ (Platform Super GP) - สำหรับผู้สูงอายุที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ จะมีการจัดอบรมทุก 2 เดือน โดยเน้นเนื้อหาทันสมัย เข้าใจง่าย เช่น การส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามวัย การสร้างวินัยเชิงบวก หรือวิธีสื่อสารกับเด็กอย่างสร้างสรรค์
2.รูปแบบออนทัวร์ (Super GP on Tour) - สำหรับกลุ่มผู้สูงวัยที่ไม่สะดวกใช้ออนไลน์ ทีมงานจะลงพื้นที่ชุมชน นำองค์ความรู้ไปถ่ายทอดแบบใกล้ชิด ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และการสาธิตที่สามารถนำกลับไปใช้ได้จริง
3.หลักสูตรอบรมระยะสั้น (หลักสูตร Super GP) - สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ปฏิบัติงานด้านผู้สูงอายุและเด็ก และบุคคลทั่วไปที่ต้องการชุดความรู้ด้านการพัฒนาเด็กและผู้สูงวัยที่ครบถ้วนทุกมิติทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้รับทั้ง ความรู้ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ พร้อมประกาศนียบัตรรับรอง เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการเด็กในครอบครัวและชุมชนของตนเอง
“ในศตวรรษที่ 21 บทบาทของผู้สูงอายุไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “ผู้รับการดูแล” อีกต่อไป แต่คือ “ผู้มีบทบาทสำคัญ” ที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ ความรัก และความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ครอบครัวและสังคมมั่นคงและยั่งยืน”