xs
xsm
sm
md
lg

สังคมผู้สูงอายุในไทย ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพมีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อกล่าวถึง “สังคมสูงวัย” (Aging Society) หมายถึง สังคมที่มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยองค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 ประชากรโลกที่มีอายุมากกว่า 65 ปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือราว 1.6 พันล้านคน คิดเป็นประมาณร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมดทั่วโลก ขณะเดียวกันอัตราการเกิดกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มนี้อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากร สังคม เศรษฐกิจ รวมไปถึงระบบสุขภาพ ตลอดจนคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม

ประเทศไทยได้เข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” โดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 20% ของประชากรทั้งประเทศ และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุถึง 13,450,391 คน หรือคิดเป็น 20.70% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และหากอัตรานี้ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ไทยจะมีแนวโน้มก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Hyper Aged Society) ได้ในอนาคตอันใกล้นี้

และในบทสนทนานี้ ผู้จัดการออนไลน์ จะพาไปสำรวจมุมมองถึงประเด็น “สังคมผู้สูงอายุ ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพมีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร?” ผ่านมุมมองจากคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ 4 หลักสูตร จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้แก่ ผศ.ดร.ภญ.อรวรรณ เฑียรฆ์พงษ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชศาสตร์, ผศ.ดร.ปัณณวัฒน์ ชูวงศ์อินทร์ วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการแพทย์แผนตะวันออก, รศ.ดร.วิมลรัตน์ บุญเสถียร, รศ. ดร. อาภรณ์ ดีนาน พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ และแพทย์หญิง วลัยอร ปรัชญพฤทธิ์ หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาตจวิทยาและตจศัลยศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ)

โดยบริบทนี้เป็นการสะท้อนมุมมองด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในแต่ละสหสาขาวิชาชีพ บทบาทการทำงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง รองรับสังคมผู้สูงอายุที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ไขความหมาย ‘วิทยาศาสตร์สุขภาพ' ผ่านมุมมองผู้เชี่ยวชาญ

หากพูดถึงคำว่า “วิทยาศาสตร์สุขภาพ” จากความเข้าใจของหลาย ๆ คน อาจหมายถึง องค์ความรู้จากหลากหลายศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของมนุษย์ ยกตัวอย่างสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ เภสัชศาสตร์ เทคนิคการแพทย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ สาธารณสุขศาสตร์ ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อบำบัดรักษา ตลอดจนครอบคลุมถึง การป้องกัน ส่งเสริม ฟื้นฟู และวิจัยพัฒนาด้านสุขภาพด้วย

โดยแพทย์หญิง วลัยอร ปรัชญพฤทธิ์ ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพว่า ไม่ใช่เพียงแค่การบำบัดรักษา แต่เป็นคำที่มีความหมายกว้างกว่านั้น คือ การทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

“ปกติเราจะคุ้นชินกับคำว่า “วิทยาศาสตร์การแพทย์” ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคให้หายขาด เป็นทีมที่เกี่ยวข้องกับคนไข้โดยตรง เช่น แพทย์ พยาบาล ฯลฯ แต่ “วิทยาศาสตร์สุขภาพ” กว้างและเป็นภาพใหญ่กว่านั้น คือ แทนที่จะมองเรื่องบำบัดรักษาเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องมองไปถึงการป้องกัน การทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่ได้มองแค่ระดับตัวบุคคล แต่ยังรวมถึงชุมชนด้วย”

เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.ภญ.อรวรรณ เฑียรฆ์พงษ์ ได้ให้นิยามความหมายของวิทยาศาสตร์สุขภาพว่าเป็นศาสตร์ที่รวบรวมความรู้จากหลายสหวิชาชีพเข้าด้วยกัน เพื่อดูแล ส่งเสริม ป้องกัน รักษา และบำบัดสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“วิทยาศาสตร์สุขภาพไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นหมอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศาสตร์หลากหลายอย่างรวมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี”

ขณะที่ รศ.ดร.วิมลรัตน์ บุญเสถียร และ รศ.ดร. อาภรณ์ ดีนาน มองว่า วิทยาศาสตร์สุขภาพคือ ศาสตร์ของการดูแลคนและการเข้าใจคนอย่างรอบด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เพื่อส่งเสริมให้แต่ละบุคคลสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในบริบทที่เขาเป็นอยู่ โดยไม่จำกัดแค่การรักษาโรค แต่รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ส่งเสริม ฟื้นฟูสภาพ และดูแลในระยะสุดท้ายของชีวิตด้วย

“พยาบาลมองสุขภาพ ไม่ใช่แค่การไม่มีโรค แต่คือ ภาวะที่บุคคลมีความสามารถในการใช้ชีวิตได้อย่างมีความหมาย ดังนั้น วิทยาศาสตร์สุขภาพสำหรับพยาบาล จึงเป็นศาสตร์ที่ผสานความรู้ทางการแพทย์ชีววิทยา จิตวิทยา สังคมวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ ศิลปะและจริยธรรมเข้าด้วยกัน เพราะไม่ใช่แค่รักษาอาการ แต่ต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์ด้วย พยาบาลต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์ควบคู่กับศิลปะแห่งการดูแล (The Art and Science of Nursing) เช่น การสื่อสารอย่างเห็นอกเห็นใจ การประเมินอาการโดยใช้ความรู้เชิงวิชาการ และการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรม”

“ทั้งนี้พยาบาลศาสตร์จะเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Care) โดยให้ความสำคัญกับความสามารถในการดำรงชีวิตประจำวัน คุณภาพชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งสรุปโดยรวม คือ เป็นการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกับหัวใจของความเป็นมนุษย์ เพื่อดูแลชีวิต ตั้งแต่เกิดจนวาระสุดท้ายให้มีคุณภาพ”

ด้าน ผศ.ดร.ปัณณวัฒน์ ชูวงศ์อินทร์ มองว่าเป็นการศึกษาและปฏิบัติเพื่อส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้นฟู เช่นเดียวกันกับศาสตร์อื่น ๆ โดยการแพทย์แผนตะวันออกจะเน้นเรื่องการดูแลเกี่ยวกับธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำให้มนุษย์มีภาวะสมดุลทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เป็นการทำให้ร่างกายสมดุล เพื่อไม่ให้เกิดโรคขึ้นมา

ความท้าทาย...เมื่อไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว

เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว บทบาทการทำงานแต่ละสหวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวอย่างไร? คำว่า “สูงวัย” อะไรคือความท้าทาย?


รศ.ดร.วิมลรัตน์ รองศาสตราจารย์และอาจารย์ประจำหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุได้ให้ความเห็นว่าการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน และมองว่าพยาบาลจะต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น จะทำงานเชิงรับอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

“คำว่าสูงอายุมักมาพร้อมกับความเสื่อม เพราะฉะนั้นบรรดาโรคอะไรทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นตามวัย อย่างปัจจุบันนี้แนวโน้มของโรค NCDs เกิดขึ้นค่อนข้างมาก แล้วพบว่าคนสูงอายุจะเป็นโรคดังกล่าวเยอะขึ้น เดิมอาจจะเป็นโรคอะไรที่เฉียบพลัน แต่ตอนนี้ยิ่งผู้สูงอายุมากขึ้น จะเป็นโรคของความเสื่อม โรคเรื้อรัง โรคสมองเสื่อมจะเริ่มมา จากในระยะเฉียบพลันจะกลายเป็นการดูแลในระยะยาว (Long-term care หรือ LTC) ซึ่งการดูแลระยะยาว มักเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย หลายคน หลายหน่วยงาน ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มทำงานประสานกัน พยาบาลปรับตัวรับสถานการณ์นี้ค่อนข้างมาก พยาบาลทำงานเชิงรุกมากขึ้น เพราะการดูแลจะเป็นแบบเชิงรับเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”

“ทั้งนี้สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลโดยตรงต่อรูปแบบการให้บริการพยาบาลในอนาคตอย่างมาก ด้วยจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบบริการสุขภาพจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนจากการรักษาเฉียบพลัน ไปสู่การดูแลระยะยาว และ การดูแลแบบประคับประครอง โดยประเด็นที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่ การดูแลแบบองค์รวมทั้งกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ ความต่อเนื่องของการดูแลจากโรงพยาบาลสู่บ้าน (Continuity of Care), การดูแลที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (Patient-centered Care) การส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก เพื่อป้องกันก่อนเกิดโรคการพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มคุณค่าและการจ้างงานรวมถึงระบบสนับสนุนครอบครัวและผู้ดูแล เป็นต้น”

“เพราะสูงวัยไม่ใช่ความเสื่อมถอยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นช่วงวัยที่มีศักยภาพในแบบของตนเอง ความท้าทายที่สำคัญ คือ เราต้องเข้าใจผู้สูงอายุแบบไม่เหมารวม ไม่ใช่ทุกคนจะป่วยหรือต้องพึ่งพา ซึ่งการออกแบบระบบสุขภาพที่เหมาะสมกับความหลากหลายทางร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ รวมถึงการปรับแนวคิดจากการรักษาเมื่อเจ็บป่วย สู่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ”


ด้าน ผศ.ดร.ภญ.อรวรรณ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเภสัชศาสตร์ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า เดิมทีเราจะชินว่าเภสัชกรต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ เช่น เมื่อผู้ป่วยมาหาหมอ มาโรงพยาบาล เภสัชฯ มีหน้าที่จ่ายยา แต่เมื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ต่อไปเภสัชฯ จะต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น

“โดยส่วนตัวมองว่าความท้าทายแรกเลย คือ เราจะทำยังไงให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี เพราะส่วนใหญ่พออายุมากขึ้น ความเจ็บป่วยมักมาเป็นของคู่กัน ซึ่งเราจะชะลอความป่วยให้ช้าลงได้ยังไง หรือผู้สูงอายุมักมีความเข้าใจผิดทางด้านสุขภาพ เช่นเชื่อโฆษณาชวนเชื่อ เชื่อข้อมูลผิดๆในโซเชียลมีเดีย ซึ่งการให้ความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เราอย่าตีความไปว่าผู้สูงอายุทุกคนเป็นคนป่วย ผู้สูงอายุที่แข็งแรงก็มี”

“บทบาทของเภสัชกร คือ มีหน้าที่ให้ความรู้ ความเข้าใจ ให้ข้อมูลเรื่องสุขภาพที่ถูกต้องกับผู้สูงอายุ เช่น ในผู้สูงอายุที่ยังแข็งแรง ควรดูแลตัวเองยังไง ออกกำลังกายได้ไหม การดูแลป้องกันการเจ็บป่วยเพื่อยืดอายุ หรือ ผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ อย่างโรคเรื้อรัง เช่นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง ต้องดูแลตัวเองอย่างไรรับประทานยาอย่างไร ปฏิบัติตัวอย่างไร หรือผู้สูงอายุที่ป่วยหลายโรค ต้องรับประทานยาหลายชนิด หรือต้องพบหมอหลายแผนก หลายโรงพยาบาล เภสัชฯ ต้องดูแลเรื่องยาว่าคนไข้ได้รับยาอะไรบ้าง และต้องรับประทานยาอย่างไร เพื่อให้ผู้สูงอายุมีการตอบสนองต่อยาที่ดีหรืออย่างตอนนี้ในโซเชียล มักจะมีข้อมูลผิด ๆ ว่าสมุนไพรตัวนี้ ยาตัวนั้น หรือเครื่องดื่มสูตรนี้ สามารถรักษาโรคนั้น โรคนี้ได้ เราจึงมีหน้าที่ให้ความรู้กับเขา เป็นต้น”

“สิ่งสำคัญคือเรื่องเภสัชกรชุมชน เช่น ร้านยาที่เข้าโครงการ 30 บาท จะต้องเป็นด่านแรกในการคัดกรองผู้ป่วยหรือให้ข้อมูลเบื้องต้น เพื่อให้คนไข้เข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น เพราะว่าคนสูงอายุที่อยู่ต่างจังหวัด บางทีเขาอาจจะเดินทางมาโรงพยาบาลค่อนข้างยาก คนต่างจังหวัดที่ไม่ได้อยู่ในเมืองเวลาจะมาหมอแต่ละครั้ง ต้องเหมารถมา ประกอบกับในปัจจุบันบุคลากรสาธารณสุขมีจำนวนลดลง ทำให้การเข้าถึงบริการก็จะยากขึ้น ดังนั้นเภสัชกรเชิงรุกแบบปฐมภูมิ ที่ลงไปเยี่ยมบ้าน ร่วมกับสหวิชาชีพอื่น ๆ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้”


คำว่า ‘สูงวัย’ ในวงการวิทยาศาสตร์สุขภาพ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายและสำคัญมาก เพราะว่าทุกคนเกิดมาจะต้องสูงวัยอยู่แล้ว แต่เราจะสูงวัยอย่างไรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ผศ.ดร.ปัณณวัฒน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการแพทย์แผนตะวันออกเกริ่นขึ้น พร้อมกล่าวเสริมต่ออีกว่า

“การแพทย์แผนตะวันออกจะเน้นการบูรณาการร่วมกันกับแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งทั้ง 2 ศาสตร์ มีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน โดยแพทย์แผนตะวันออกจะเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟู ชะลอความเสื่อมของเซลล์ โครงสร้างของร่างกาย โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง เพื่อดูแลสุขภาพไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย จิตใจ และพลังชีวิต ยกตัวอย่างเช่น การใช้สมุนไพร การนวด ฝังเข็ม ครอบแก้ว หรือโภชนาการต่าง ๆ ส่วนทางด้านแพทย์แผนปัจจุบันจะเป็นการให้ยารักษาอาการ ลดอาการ ฉะนั้นทั้ง 2 ศาสตร์จะขาดกันไม่ได้ ต้องเชื่อมโยงกันทำให้ร่างกายของบุคคลนั้น ๆ มีภาวะที่สมดุลมากขึ้น”

“สำหรับผู้สูงวัย สิ่งที่ท้าทายของการแพทย์แผนตะวันออกตอนนี้ คือ ปัญหาเกี่ยวกับทางด้านสมอง อาจจะมีภาวะหลงลืม หรือภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ปัญหาด้านเซลล์ระบบประสาท ที่ยังมีข้อจำกัดอยู่ ปัจจุบันมียาแผนปัจจุบันที่ใช้เพื่อชะลอความเสื่อมของอัลไซเมอร์ ส่วนทางด้านแพทย์แผนตะวันออกได้มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สมุนไพร คาดว่าจะป้องกันและบรรเทาอาการผู้ป่วยได้ดีขึ้น ร่วมกับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยต้องดีขึ้น ส่วนคนไข้ที่ใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน (Polypragmasia) มีการใช้ยาค่อนข้างเยอะและซับซ้อน ดังนั้น จะออกแบบยังไงให้คนไข้มีสุขภาพที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย และเป็นมิตรกับผู้สูงอายุ”

“ยกตัวอย่างเช่นแพทย์แผนจีน จะมีการฝังเข็มตามจุดเส้นลมปราณ เพื่อช่วยกระตุ้นเซลล์ประสาท มีการใช้สมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของเลือด เช่น แปะก๊วย ที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพการเรียนรู้และความจำที่ดี ซึ่งมีงานวิจัยทางคลินิกมากมาย หรืออย่างแพทย์แผนไทย จะมีการอบไอน้ำสมุนไพร เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ผ่อนคลายระบบประสาทได้ดี รวมถึงการกระตุ้นการนวดกดจุดด้วย ก็จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังเซลล์ประสาท เพราะในสมองคนเรามีหลอดเลือดเล็ก ๆ ค่อนข้างเยอะ การกระตุ้นตรงนี้ก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนได้ เซลล์ประสาทก็จะได้รับออกซิเจนมากขึ้น”

“นอกจากนี้ผู้สูงอายุยังพบปัญหากล้ามเนื้อโครงกระดูกปวดข้อ ปวดเข่า ข้อเข่าเสื่อม ทางด้านแพทย์แผนปัจจุบันอาจจะให้ยารักษาอาการปวด เพื่อลดปวด แต่ในทางแพทย์แผนตะวันออกจะมีวิธีการลดปวด โดยให้สมุนไพรร่วมด้วย หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาเกี่ยวกับด้านภูมิคุ้มกันที่ลดลงแพทย์แผนตะวันออกก็จะมีสมุนไพรหลากหลายชนิดที่ปลอดภัยและมีงานวิจัยรองรับ เช่น เห็ดหลินจือ โสมจีน หรือแพทย์แผนไทยก็จะมี ตรีผลา เบญจกูล ที่จะช่วยปรับธาตุทั้ง 4 ในร่างกายให้สมดุล เป็นต้น”

“อีกทั้ง เรายังใช้ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลทางด้านจิตใจร่วมกับการใช้ยาด้วยเช่น คนไข้ปวดด้วย เครียดด้วย ในทางการรักษาเราอาจจะมีน้ำมันหอมระเหยกลิ่นอโรมาเทอราพีเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายได้ดียิ่งขึ้น มีการนั่งสมาธิบำบัด การออกกำลังกายที่ฝึกสมาธิ เช่น การฝึกชี่กง เพื่อที่จะปรับระบบประสาทเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างของระบบประสาท การหลั่งสารสื่อประสาท เป็นต้น”

“ปัจจุบันกลไกหรือความเสื่อมของร่างกาย หรือ ไบโอโลจิคอลเอจ (Biological Age) ยังไม่ได้เข้าใจ 100% ขนาดนั้น ทั้งนี้ได้มีการศึกษาค้นคว้าให้ลึกขึ้น เช่น เทโลเมียร์(Telomere) หดสั้นลง อนุมูลอิสระที่มากขึ้น หรือเซลล์มีอายุขัย บางคนแก่เร็ว บางคนแก่ช้า บางคนอายุเยอะแต่ดูไม่แก่ เราจะต้องศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ให้ลงลึกเกี่ยวกับกลไกในส่วนนี้เพื่อที่จะชะลอความแก่ ซึ่งปัญหานี้ค่อนข้างมีข้อจำกัด ต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาสมุนไพร การใช้ยาแผนปัจจุบัน หรือการนำมาใช้ร่วมกัน ต้องศึกษาในอนาคตต่อไป”


ด้านแพทย์หญิง วลัยอร อาจารย์ประจำสาขาวิชาตจวิทยาและตจศัลยศาสตร์ (หลักสูตรนานาชติ) มองว่า เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) จะพบจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้นอย่างแน่นอน ปัญหาที่ตามมาไม่เพียงแค่เรื่องสุขภาพ แต่ยังรวมไปถึงทุกมิติ แม้แต่เรื่องสังคม

“วงการวิทยาศาสตร์สุขภาพ มีทั้งวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ทางเทคโนโลยีการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นองค์ประกอบทำให้เกิดเป็นวิทยาศาสตร์สุขภาพที่จะทำให้บริการระดับบุคคล ระดับสังคม ตรงประเด็น ตรงจุดแต่ละช่วงวัยมากขึ้น แปลว่าในแง่องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโรค เรื่องผู้สูงอายุ จะต้องพัฒนาต่อ ซึ่งวงการแพทย์มีการตื่นตัวทางด้านวิชาการอย่างมาก จะเห็นได้ว่าเริ่มมีสาขาเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging) เกิดขึ้น มีการตั้งสถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุของกรมการแพทย์ที่แยกเป็นระบบ เช่น ระบบผิวหนังเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน”

“ผู้สูงอายุมีความเสื่อมทุกระบบ ทางด้านผิวหนังก็เสื่อมไปด้วย พอสุขภาพลดลงเขาก็จะมีความเสี่ยงอันตรายในเรื่องการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อแปลก ๆ ในตำแหน่งแปลก ๆ เชื้อดื้อยา การเกิดโรคมะเร็งเยอะขึ้นกว่าวัยอื่น ๆ หรือโรคทางด้านสุขภาพจิตก็มีปัญหา โรคทางสมองก็มีปัญหา ความสัมพันธ์ในสังคมก็มีปัญหา ยกตัวอย่าง ทางด้านผิวหนัง ผู้สูงอายุ มักจะมีปัญหาเรื่องผิวหนังลอกทั้งตัว อุบัติการณ์จะสูงขึ้นในวัยนี้ เวลาเขามาหาหมอที่โรงพยาบาล ก็จะเข้าสู่ระบบทั่ว ๆ ไป เช่น ห้องที่เปิดบริการก็เปิดอุณหภูมิที่เหมือนกับคนทั่วไป ไม่มีห้องพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ ถึงแม้ในปัจจุบันระบบคิวจะมีการจัดพิเศษให้ผู้สูงอายุแล้ว ซึ่งแต่ก่อนจำกัดที่อายุ 60 ปี แต่ตอนนี้ย้ายไป 70 ปีแล้ว เพราะจำนวนผู้สูงอายุเยอะเกินไป ทีนี้ระหว่างรอ คนไข้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ (Eczema) หรือโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis)จะควบคุมอุณหภูมิได้ไม่ดี จะมีอาการหนาวสั่น เพราะมีการสูญเสียอุณหภูมิ ขณะที่นั่งรับบริการร่วมกับวัยอื่น ๆ ก็แปลว่าในปัจจุบันระบบสนับสนุนทั่วไปยังไม่ได้โฟกัสเป็นพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ หรือการนอนโรงพยาบาลก็จะมีห้องนอนแยก ห้องนอนรวม ห้องผู้ป่วยติดเชื้อ เป็นหลักการทั่วไปสำหรับทุกโรค ทุกวัย แต่ไม่ได้โฟกัสไปที่ผู้สูงอายุ”

“หรือแม้แต่เรื่องการรับรู้ การรักษา การให้องค์ความรู้ การดูแลตัวเอง การให้ยา ผู้สูงอายุมักมีปัญหาหูไม่ได้ยิน ตามองไม่ค่อยเห็น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในเมืองที่น่าสงสารกว่าผู้สูงอายุในชนบท เวลาเขามาหาหมอบางคนไม่มีญาติมาด้วย ซึ่งทีมที่ให้บริการก็จะบริการเหมือนกับวัยอื่น ๆ อาจพูดเร็ว คนไข้ฟังไม่ทันบ้าง บางโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ไม่ได้ถูกเทรนมาทางด้านนี้ อาจมองผู้สูงอายุมากเรื่อง คอมเพลนบ่อย แต่จริง ๆ เกิดจากความเสื่อมของร่างกายที่ซ่อนไว้เบื้องหลังของปัญหาที่คนไข้ต้องการหรือเรียกร้องมากขึ้น ดังนั้นเวลาจัดระบบบริการเราต้องมองตั้งแต่ 1. สถานที่ ต้องมีความพร้อมสำหรับผู้สูงอายุ 2. การเข้าใจการเปลี่ยนแปลง เข้าใจเรื่องความเสื่อมของสมอง การรับรู้ การสื่อสาร คนที่ให้บริการจะต้องได้รับการเทรนมา เพื่อให้มีองค์ความรู้ มีทักษะการสื่อสาร ว่าจะต้องพูดช้าระดับไหน รู้จักเลือกใช้คำที่ชัดเจน และ 3. ทีมแต่ละสาขาที่ดูแลจะต้องมีสถาบันหรือหน่วยงานที่เชื่อมโยงคนกลุ่มนี้ให้โฟกัสเรื่องผู้สูงอายุที่แต่ละระบบอาจจะกระทบถึงกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้สูงมาหาหมอผิวหนังเรื่องผิวหนังลอก หมอให้ยาแอนตี้ฮีสตามีน ซึ่งยาอาจทำให้คนไข้ท้องผูก พอท้องผูก คนไข้ก็จะไปหาหมอลำไส้ หมอลำไส้ก็ให้ยาแก้ท้องผูกมา โดยหมออาจจะไม่ได้ถามเรื่องการใช้ยาอะไรมาก่อนไหม ทำให้การรักษาไม่ตรงจุด ซึ่งมันจะไปเข้าสู่มิติที่ต่างคนต่างอยู่ ตรงนี้ต้องสร้างมาตรฐานที่ถูกต้อง ต้องมีการบูรณาการองค์ความรู้ที่ถูกต้องเข้าด้วยกัน และเทรนคนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่แพทย์ พยาบาล เภสัชกร สหวิชาชีพทั้งหมดให้รับรู้ร่วมกันว่าผู้สูงอายุเขามีลักษณะพิเศษ เราจะคิดหลักการในการรักษาเหมือนกับคนวัยอื่น ๆ ทั่วไปไม่ได้”

“อีกทั้งปัจจุบัน พอภาพของสังคมมีผู้สูงอายุเยอะขึ้น ก็จะมีผลกระทบต่อครอบครัว ต่อสังคมโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นแง่ของการต้องมีทรัพยากรบุคคลที่มาดูแลคนกลุ่มนี้ หรือการจัดสรรงบประมาณ หรือแม้แต่เรื่องเวลาที่สมาชิกในครอบครัวต้องหาเวลามาดูแลผู้สูงอายุให้มากขึ้น เราต้องมองสังคมในประเทศว่า หลายครอบครัวมีศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุไม่เท่ากัน หรือ ระบบสังคม เช่น สังคมเมืองเป็นแบบหนึ่ง สังคมชนบทก็เป็นอีกแบบหนึ่ง อย่างชนบทอาจจะมีระบบ อสม.ในการช่วยเหลือผู้สูงอายุ ในสังคมเมืองจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ดีแบบชนบทไหม การออกแบบการบริหารการจัดการของรัฐจะมารองรับกับสภาพปัญหานี้ได้ยังไง ระบบการออกแบบการบริการของหน่วยงานต่าง ๆ ระบบการออกแบบสถานที่ เครื่องมือที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ที่ต้องไม่ใช้เงินมากเพราะบางครอบครัวจ่ายได้ บางครอบครัวก็จ่ายไม่ไหว เพื่อจะไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ดังนั้นนอกจากจะวิจัยเรื่องโรคนั้น โรคนี้เกี่ยวกับผู้สูงอายุแล้ว เราจะต้องวิจัยและศึกษาในเชิงนโยบาย เชิงอื่น ๆ ทางด้านสุขภาพผู้สูงอายุให้มากขึ้นด้วย”

“เราจะเห็นว่าอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น แต่คุณภาพชีวิตกลับไม่ยืนตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข ต้องปรับเป้าหมาย ปรับทัศนคติ คือคนที่จะมาดูแลผู้สูงอายุจะต้องมาดูแลร่วมกันแบบองค์รวม จะต้องไม่ใช่แค่แพทย์ เภสัชกร พยาบาล แต่ต้องรวมไปถึงนักสังคมสงเคราะห์ นักโภชนาการ หรือวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ด้วย”ผศ.ดร.ปัณณวัฒน์ กล่าวเสริมเพิ่มเติม


ผ่าอนาคตวงการวิทยาศาสตร์สุขภาพประเทศไทย กับการเข้ามามีบทบาทของ AI

ปัจจุบันเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือแม้กระทั่งปัญญาประดิษฐ์อย่าง AI ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน การทำงาน การทำธุรกิจ หรือแม้กระทั่งระบบสุขภาพมากขึ้น

ผศ.ดร.ภญ.อรวรรณได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันในเรื่องของเทคโนโลยี นวัตกรรม ทางเภสัชศาสตร์ได้มีการให้บริการเภสัชกรรมทางไกลหรือ “เทเลฟาร์มาซี” (Telepharmacy) เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วย สามารถโทรศัพท์ หรือวิดีโอคอล ปรึกษา จ่ายยา และจัดส่งยาไปถึงบ้านได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเรื่องการเดินทาง ทำให้ผู้ป่วยได้รับโอกาสในการรักษาเพิ่มมากขึ้น และในอนาคตยังจะมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเรื่องของอาหารสุขภาพหรือว่านวัตกรรมที่จะใช้กับผู้สูงอายุต่อไป

ด้านแพทย์หญิง วลัยอรกล่าวเสริมว่า ทางด้านตจวิทยาได้มีการเกาะติดกับสถานการณ์โลกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทิศทางทั่วโลกได้พยายามศึกษาเรื่องผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง และมีเทคนิคใหม่ ๆ ในการช่วยรักษา กระทั่งมีสาขาเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging) ที่เป็นการดูแลสุขภาพจากภายในให้ความเสื่อมหรือความชราเกิดขึ้นช้าที่สุด

ตจวิทยา มีรายวิชาที่สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังของผู้สูงอายุโดยตรง สอนเรื่องโรค เรื่องยา ตอนนี้มีวิทยาศาสตร์สุขภาพและเทคโนโลยีทางการแพทย์อื่น ๆ เข้ามาเสริมด้วย เช่น เลเซอร์ ศัลยกรรม ซึ่งเป็นสิ่งคาบเกี่ยวกับ Anti-aging หรือแม้แต่เรื่องโภชนาการก็เป็นสิ่งที่มีบทบาทอย่างมากกับผู้สูงอายุ”

รศ.ดร.วิมลรัตน์ และ รศ.ดร. อาภรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันหลักสูตรการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มีรายวิชาที่เปิดสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล AI และนวัตกรรมด้านสุขภาพ มองว่าเป็นโอกาสสำหรับผู้เรียน เพราะ AI และ Internet of Things (IoT) เข้ามามีบทบาททางสุขภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแล การวินิจฉัย และการเฝ้าระวังสุขภาพ อย่างเช่น หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ เตียงอัจฉริยะ แอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ หรือระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อเตือนการหกล้มในผู้สูงอายุ”

“AI เข้ามาช่วยการทำงานได้หลายอย่าง ซึ่งจะช่วยลดภาระของบุคลากรได้ แต่เราต้องใช้เป็นแค่ผู้ช่วย ห้ามใช้นำเรา ถ้าคิดว่าจะใช้ พยาบาลต้องมีทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อการดูแล ต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของเทคโนโลยีนั้น มีความสามารถในการประเมินความเหมาะสมของเทคโนโลยีแต่ละชนิดและต้องเลือกใช้เทคโนโลยีสุขภาพให้เหมาะสมกับผู้ป่วย เราต้องปรับตัว เรียนรู้ เตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต”
4 หลักสูตร ตจวิทยาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เภสัชศาสตร์ และการแพทย์แผนตะวันออก
มุ่งสร้างบุคลากรทางการแพทย์คุณภาพ ตอบโจทย์ทุกมิติแห่งวิทยาศาสตร์สุขภาพ

รับมือกับสังคมผู้สูงวัยในอนาคต

ทว่าการจะมีบุคคลากรทางการแพทย์ที่ดี ต้องสร้างจากรากฐานที่ดี โดยบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรังสิต มีหลักสูตรสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพให้เลือกเรียนมากมาย อาทิ การแพทย์แผนตะวันออก, เภสัชศาสตร์, ตจวิทยาและตจศัลยศาสตร์ (นานาชาติ), พยาบาลศาสตร์ (การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ) ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรปริญญาโท-ปริญญาเอก ให้เลือกสรรกว่า 50 หลักสูตร ที่จะช่วยปั้นบัณฑิตเป็นผู้มีความรู้ มีความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบ และมีจิตสำนึกต่อสาธารณะประโยชน์

การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

รศ.ดร.วิมลรัตน์ และ รศ.ดร. อาภรณ์ ได้อธิบายถึงหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ว่าเป็นหลักสูตรที่พัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งผู้เรียนจะได้พัฒนาตัวตนให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่สูงขึ้น ทำให้สามารถกลับไปพัฒนางานในหน่วยงานของตนเอง

หลักสูตรปัจจุบันได้รับการออกแบบมาเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถดูแลผู้รับบริการแบบผู้จัดการรายกรณี (Case manager) ที่สามารถให้การดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพซับซ้อน สามารถจัดการประเด็นขัดแย้งด้านจริยธรรมที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติงาน นอกจากนั้นหลักสูตรยังได้ปรับปรุงให้ทันสมัยโดยเสริมแนวคิดและแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ การสร้างและการนำนวัตกรรมด้านสุขภาพมาใช้ในการดูแลผู้ป่วย

นอกจากนี้หลักสูตร ยังมีจุดเด่น ที่ให้นักศึกษาสามารถฝึกปฏิบัติในแหล่งฝึกที่เป็นสถานที่ทำงานของตนเอง ทำให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้ปัญหาที่พบจากสถานการณ์จริง ได้แก้ไขปัญหาภายใต้คำแนะนำของอาจารย์ และสามารถพัฒนาคุณภาพของหน่วยงานด้วยงานวิจัยและการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์

หลักสูตรปัจจุบันมีระยะเวลาเรียน 2 ปี โดยจัดการเรียนการสอนนอกเวลาราชการเฉพาะวันเสาร์-วันอาทิตย์โดยจัดการเรียนการสอนผสมผสานทั้งออนไลน์และในห้องเรียน การสอนนอกเวลาราชการช่วยให้นักศึกษาซึ่งยังคงทำงานพยาบาล สามารถจัดเวลาเข้าเรียนโดยไม่จำเป็นต้องลาเรียน ซึ่งตอบสนองความต้องการของนักศึกษาที่ยังต้องการทำงานและตอบสนองหน่วยงานที่มีปัญหาขาดแคลนพยาบาล

เภสัชศาสตร์

ด้าน ผศ.ดร.ภญ.อรวรรณ กล่าวถึงหลักสูตรว่าปัจจุบันมีทั้งระดับปริญญาโทหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ (ภาคปกติ) หลักสูตร 2 ปี และปริญญาเอก หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ (ภาคปกติ) ซึ่งรับทั้งผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตร 3 ปี และผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหลักสูตร 5 ปี

โดยจุดเด่นของหลักสูตร คือ เน้นการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ ทดลอง และลงมือทำด้วยตนเอง

“ทางหลักสูตร มีการจัดแผนการศึกษาให้กับนักศึกษาเป็นรายบุคคล เพื่อให้นักศึกษามีความพร้อม
ในการทำวิจัยต่อไปในอนาคต ยกตัวอย่าง เช่น หากนักศึกษาเข้ามาเรียน 2 คน แต่มีความสนใจต่างกัน ซึ่งนอกจากวิชาบังคับแล้ว นักศึกษาสามารถเลือกเรียนรายวิชาตามที่ตนเองสนใจได้ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนเหมือนกัน นอกจากนี้หลักสูตรมีอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีประสบการณ์ในการทำวิจัยและตีพิมพ์ เป็นผู้ดูแลการทำวิทยานิพนธ์ นอกจากนี้หลักสูตรยังมีโครงการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ซึ่งจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับนักศึกษาในการเข้าร่วมประชุม/ อบรม/ สัมมนา หรือนำเสนอต่าง ๆ”

ทั้งนี้ผู้เรียนจบการศึกษาสามารถนำองค์ความรู้ไปต่อยอดประกอบอาชีพ เช่น อาจารย์ในสถาบันการศึกษา นักวิชาการด้านเภสัชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ ที่ปฏิบัติงานในฝ่ายผลิต ฝ่ายควบคุม คุณภาพ, ฝ่ายวิจัยและพัฒนาในโรงงานอุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ, นักวิชาการด้านเภสัชกรรมคลินิก และ/หรือ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค, ผู้ผลิต และ/หรือผู้ประกอบการด้านเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น

ตจวิทยา

หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาตจวิทยาและตจศัลยศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) เป็นหลักสูตรที่เปิดสอนในระดับปริญญาโท โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ด้านผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง มีทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ รวมถึงการเรียนรู้ด้านเลเซอร์และความงาม หลักสูตรนี้ยังเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการวินิจฉัยและรักษาโรคผิวหนัง เป็นหลักสูตรร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยรังสิต และสถาบันโรคผิวหนัง ระยะหลักสูตร 2 ปี โดยผู้สำเร็จการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี แพทยศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศสามารถลงเรียนหลักสูตรนี้ได้

“การร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยรังสิต และสถาบันโรคผิวหนัง ทำให้เรามีแหล่งศึกษา มีองค์ความรู้ และมีทรัพยากรบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การสอนระดับ International ซึ่งเรามั่นใจว่าถ้านักศึกษามาเรียนจะได้องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคผิวหนังกลับไปประกอบวิชาชีพเวชกรรมของตนเองได้ อีกทั้งยังมีความมั่นใจในการให้บริการ ตรวจรักษาได้ ดูแลคนไข้ได้ จ่ายยาได้”แพทย์หญิง วลัยอร กล่าว

การแพทย์แผนตะวันออก

ผศ.ดร.ปัณณวัฒน์ ได้ให้ข้อมูลถึงหลักสูตรว่า หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการแพทย์แผนตะวันออก มีระยะเวลาหลักสูตร 2 ปี เรียนเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ โดยจะมีหมวดวิชาเลือก 6 แขนงวิชา ได้แก่
  • แขนงวิชา 1 ด้านการพัฒนาการรักษาโรค
  • แขนงวิชา 2 ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร
  • แขนงวิชา 3 ด้านการประเมินความปลอดภัยและประสิทธิผล
  • แขนงวิชา 4 ด้านการประเมินคุณภาพ
  • แขนงวิชา 5 ด้านการควบคุมการผลิตและการค้าผลิตภัณฑ์สมุนไพร
  • แขนงวิชา 6 ด้านสุขภาพและความงาม
จุดเด่นหลักสูตร คือ มีการบูรณาการหลากหลายศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน แพทย์แผนอินเดีย และแพทย์แผนปัจจุบันเข้าด้วยกัน ถือเป็นการแพทย์บูรณาการ (Integrative Medicine) ในรายวิชามีการสอดแทรกการปฏิบัติเข้าไปด้วย เช่น มีหลักสูตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ ให้นักศึกษาได้ฝึกฝนในโรงพยาบาลเพื่อทำงานร่วมกับสหวิชาชีพต่าง ๆ เช่น แพทย์ พยาบาล เภสัชกร แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน ให้มีองค์ความรู้มากขึ้น

“ปัจจุบันหลักสูตรอยู่ในช่วงปรับปรุง ซึ่งอนาคตจะมีการเพิ่มการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับศาสตร์ผู้สูงอายุเข้าไปด้วย โดยจะใช้องค์ความรู้ทางด้านแพทย์แผนตะวันออกทมาบูรณาการศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกายภาพศาสตร์ สรีระวิทยา หรือพยาธิวิทยา รวมไปถึงการดูแล การรักษาผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น นอกจากรายวิชาแล้วยังมีการส่งเสริมพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาสมุนไพรในผู้สูงอายุด้วย”

โดยผู้เรียนจบการศึกษาสามารถไปเป็นผู้ประกอบการ ประกอบธุรกิจการผลิตตำรับยาแผนไทย/แผนโบราณ และผลิตภัณฑ์สุขภาพในระดับอุตสาหกรรม, เปิดสถานพยาบาลด้านการแพทย์แผนไทย (คลินิก) ของตนเอง, เป็นนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร : ยาแผนไทย อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง ฯลฯ เป็นต้น

“บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรังสิต คาดหวังว่านักศึกษาจะมีองค์ความรู้ทางด้านการวิจัย นวัตกรรม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังคิดเป็น ทำเป็น แก้ไขปัญหาเป็น มีไอเดียนำมาแบ่งปันกับอาจารย์และเพื่อน ๆ ในห้องเรียนได้ นักศึกษาที่จบออกไปจะสามารถนำความรู้ที่เรียนไปต่อยอดกับธุรกิจ กับโรงพยาบาล กับชุมชนและสังคม รวมถึงพัฒนาองค์ความรู้ต่อไปได้ไม่สิ้นสุด ควบคู่กับการเป็นคนดีของสังคม มีคุณธรรม และจริยธรรม”อาจารย์ประจำสาขาวิชาการแพทย์แผนตะวันออกกล่าวทิ้งท้าย

ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>https://grad.rsu.ac.th/




กำลังโหลดความคิดเห็น