ลองใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเลื่อนหน้าฟีดในโซเชียลมีเดีย เราจะสะดุดตากับเนื้อหาที่หน้าตาคล้ายกันไปหมด ต้องยอมรับว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในยุคที่ใคร ๆ ก็เป็นสื่อและผู้ผลิตคอนเทนต์ได้
ดังนั้น เมื่อสิ่งหนึ่ง “เวิร์ก” ก็ไม่แปลกใจที่คนอื่นจะเดินตามรอย กระแสผลิตซ้ำจึงกลายเป็นเครื่องมือเอาตัวรอดของสายผลิต ความกล้าคิดหดหายและสูตรสำเร็จคือคำตอบที่ปลอดภัยที่สุด
จึงไม่แปลกที่คำถามเชิงจริยธรรมจะเริ่มถูกตั้งขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ที่ทุกคนกลายเป็นผู้ผลิต เมื่อใครก็ทำคอนเทนต์ได้ ใครจะกำกับว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควร? และเมื่อความน่าเชื่อถือไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์กรอีกต่อไป จรรยาบรรณสื่อยังคงมีที่อยู่ในโลกออนไลน์หรือไม่?
วันนี้ MGR Online จะพาทุกท่านไปสำรวจบทบาทของจรรยาบรรณสื่อในยุคปัจจุบัน จากมุมมองของ 3 อาจารย์ในแวดวงนิเทศศาสตร์และการออกแบบสื่อจาก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่จะมาแบ่งปันประสบการณ์ พร้อมบทบาทสำคัญในการผลิตสื่อที่มีคุณภาพและจริยธรรมในยุคดิจิทัล แม้ในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและความท้าทาย
ว่าด้วยเรื่อง “จริยธรรมสื่อ”
เริ่มแรกเรามารู้กันก่อนว่า “จริยธรรมสื่อ” คืออะไร
จริยธรรมสื่อ ไม่ได้หมายถึงเพียงกฎเกณฑ์ขององค์กรสื่อกระแสหลัก แต่คือแนวทางที่สะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ผลิตเนื้อหา พร้อมข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน โดยเน้นหลักการ 4 ประการคือความถูกต้อง ประโยชน์สาธารณะ ไม่ทับซ้อนผลประโยชน์ และการไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น
เริ่มที่ผู้อยู่ในแวดวงของสื่ออย่าง ผศ.ดร.ฉลองรัฐ เฌอมาลย์ชลมารค ผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเขียนบทและการกำกับภาพยนตร์และซีรีส์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สำหรับสื่อมวลชน การมีแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสามารถทำงานโดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น และในขณะเดียวกันก็ได้รับความเคารพจากสังคม ซึ่งแนวทางดังกล่าวมักพัฒนามาจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นภายในวงวิชาชีพ เพื่อนำไปสู่การกำหนดคุณธรรมและจริยธรรมร่วมกันที่เหมาะสมกับบริบทของงานสื่อ แม้การละเมิดจรรยาบรรณอาจไม่ได้นำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายอย่างการติดคุก แต่ก็ส่งผลต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบวิชาชีพ
“ในอดีตเราอาจจะมีสื่อไม่ได้เยอะเท่าในปัจจุบัน การดูแลกัน การเห็นหน้าเห็นตากัน เราสามารถบังคับใช้ได้เรื่อย ๆ ไม่ค่อยมีอุปสรรค แต่ว่าปัจจุบันมีสื่อเกิดขึ้นเยอะมากโดยเฉพาะการมาของสื่อออนไลน์เล็ก ๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ซึ่งจรรยาบรรณสื่อในปัจจุบันกลับถูกละเมิด ไม่ถูกนำไปปฏิบัติใช้ ยากที่จะตามไปดูแลว่า ใครทำผิดอะไร อย่างไรแต่จรรยาบรรณเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากที่จะบอกจิตสำนึกของคนทำในอาชีพนั้น ๆ ว่าควรจะทำอย่างไรต่อสังคม ต่ออาชีพ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องหาแนวทางเพื่อแก้ไขต่อไป”
ขณะที่ รศ.ดร.ลักษณา คล้ายแก้ว ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิต นิเทศศาสตร์ดิจิทัลและสื่อใหม่ มหาวิทยาลัยรังสิต เสริมถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อในปัจจุบันว่า หนึ่งในปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดคือการเกิดขึ้นของ “สื่อใหม่” ที่เข้ามาแทนที่สื่อกระแสหลัก ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างสื่อกระแสหลักกับสื่อทางเลือก โดยสื่อใหม่มีความสะดวกในการเข้าถึงมากกว่า อีกทั้งผู้ชมไม่ได้อยู่หน้าจอโทรทัศน์เหมือนในอดีต คนฟังวิทยุก็น้อยลง หากต้องการเสพความบันเทิงทางเสียง ผู้คนจึงหันไปใช้แพลตฟอร์มใหม่ เช่น Podcast YouTube ซึ่งเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับสื่อของผู้คนไป
ขณะเดียวกัน ผู้รับสารในอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงผู้ชมหรือผู้ฟัง กลายมาเป็นเจ้าของสื่อของตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ทั้งด้านบันเทิงและเชิงพาณิชย์
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่ออย่างชัดเจน โดยที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของสื่อและดำเนินธุรกิจด้วยตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสื่อกระแสหลัก จึงส่งผลให้ความนิยมในการเสพสื่อกระแสหลักลดลง
“เมื่อถามเรื่องจรรยาบรรณ ต้องแยกให้ออกว่า คนที่ทำในยุคใหม่คือคนที่เขาไมได้มีสังกัดหรือองค์กรสื่อ แค่คนหนึ่งหรืออาจจะคนกลุ่มหนึ่ง หรือเป็นชาวบ้านธรรมดาที่มาทำสื่อ บางคนอาจผลิตสื่อโดยที่ไม่รู้ก็ได้ เด็กตอนนี้ออกมาเต้น มารำกันเยอะ เพราะเขาเห็นว่า คนอื่นเขาก็ทำกัน ซึ่งก็ไม่ได้ตระหนักเกี่ยวกับจรรยาบรรณหรือจริยธรรม เพราะมันไม่มีกฎหมายกำกับและคุมเขาอย่างชัดเจน ใครจะไปนั่งตามจับได้ ยกเว้นบางเจ้า ดังนั้น จริยธรรมและจรรยาบรรณที่ถูกกำหนดโดยองค์กรวิชาชีพไม่ได้ถูกนำมาใช้แน่นอนในยุคสื่อใหม่ และถึงมีก็ยังไม่รู้เลยว่า จะบังคับใช้อย่างไร”
อีกมุมมองจากฝั่งออกแบบมองอย่างไรนั้น ผศ.ดร.สามมิติ สุขบรรจง รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ และผู้อำนวยการหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต วิทยาลัยการออกแบบ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ก่อนจะมี จรรยาบรรณวิชาชีพ ทุกคนควรมี จริยธรรม ในฐานะมนุษย์ ซึ่งก็คือคำว่า Ethics มาจากภาษากรีกว่า Ethikos หมายถึงบุคลิกภาพที่ดีที่เกี่ยวข้องกับการแยกแยะสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ ซึ่งจรรยาบรรณเปรียบเสมือนสำนึกที่อยู่ในตัวมนุษย์ ไม่ใช่เพียงกรอบที่จับต้องได้ สิ่งแรกที่ควรตระหนักในฐานะผู้ผลิตเนื้อหาคือ การไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่เบียดเบียน และไม่ดูถูกผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเพศ เชื้อชาติ หรือความเชื่อ ซึ่งถือเป็นหลักพื้นฐานของจริยธรรมมนุษย์
พร้อมกับยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า ปัจจุบันเป็นลักษณะของยุคที่เรียกได้ว่าเป็น การล่มสลายของยุค Masterpiece ดังนั้น ในยุคหลังสมัยใหม่ ไม่ควรให้ความสำคัญเฉพาะกับ Product เท่านั้น แต่ควรหันมาให้ความสำคัญกับ Process หรือกระบวนการเบื้องหลังด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว ปัญหาเรื่องการคัดลอกไม่ได้สะท้อนแค่การละเมิดสิทธิ แต่เป็นสัญญาณของการไม่เคารพความคิดของผู้อื่น ซึ่งประเด็นนี้ต่างหากที่ควรให้ความสนใจและตั้งคำถาม
ต้องบอกว่า การคิดคือสิ่งที่อยู่กับมนุษย์ ถ้าไม่คิด ไม่คิดเราก็ไม่เป็นมนุษย์อีกต่อไป ดังนั้น สิ่งที่สามารถพัฒนาแนวคิดนี้ได้ คือ “กระบวนการทางการศึกษา” ที่จะช่วยให้เข้าใจว่า เบื้องหลังผลงานชิ้นเอก เช่น โมนา ลิซา (Mona Lisa) ไม่ใช่แค่ปลายทางเท่านั้น แต่คือผลลัพธ์ของการคิด วิเคราะห์ และลงมือสร้างสรรค์ที่ของเลโอนาร์โด ดา วินชี
“ทุกวันนี้ฝั่งออกแบบ ก่อนจะมีงานออกแบบแต่ละที กลายเป็นว่า เราก็หวั่นไหวไปด้วย เพราะเวลาประดิษฐ์อะไรขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง จะต้องมีคนรอก็อปไปเลยทันที บางครั้งก็มีคนเข้าใจ คนที่รู้ว่า กระบวนการสำคัญกว่า Product แต่บางทีก็มีกลุ่มที่เราต้องไปให้ข้อมูลว่า กว่าจะมาเป็นชิ้นงานแต่ละชิ้นเป็นอย่างไร”
“ตอนนี้ไม่ได้กลัวเพราะว่า คงกลัวไม่ไหวแล้ว ต้องกลัวทุกนาทีก็ไม่ได้ แต่ว่า เราต้องอยู่ด้วยกัน เปิดทางต่อสู้เหมือนกัน คือ ต้องให้ข้อมูล ทำให้ผู้บริโภคหรือคนที่จะซื้องานของเรา ในที่นี้อาจจะเป็น Content ด้านของสื่อหรือชิ้นที่จับต้องได้ด้วย เราต้องให้ข้อมูลผู้บริโภคว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร สิ่งสำคัญคือการที่ต้องสื่อสารกับผู้บริโภคว่า อะไรเป็นอะไร ซึ่งมนุษย์เกิดมาพร้อมกับการเปรียบเทียบ สักพักหนึ่ง เขาจะต้องรู้ว่า ของแท้กับของเทียมแตกต่างกันอย่างแน่นอน”
แน่นอนว่า การเกิดขึ้นของ “สื่อใหม่” ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและกระจายข่าวสารเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคสื่อในปัจจุบันด้วย ความหลากหลายของแพลตฟอร์มและช่องทางการสื่อสาร ทำให้ผู้คนมีทางเลือกมากขึ้น ทั้งในแง่ของรูปแบบเนื้อหา แหล่งข่าว และวิธีการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
แต่เมื่อ “ทุกคนเป็นสื่อได้” คำถามที่ตามมาหลังจากนั้นคือ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับ “จรรยาบรรณสื่อและความน่าเชื่อถือ” อยู่หรือไม่?
เมื่อถามถึงมุมมองในประเด็นนี้ ด้าน รศ.ดร.ลักษณา ให้ความเห็นว่า ผู้บริโภคยุคใหม่ยังคาดหวัง ความถูกต้อง และ ความเป็นมืออาชีพ จากสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักหรือสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะสื่อที่มีองค์กร บุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอยู่เบื้องหลัง ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา ผู้บริโภคจำนวนมากแยกแยะได้ว่าอะไรคือสื่อวิชาชีพ ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้คุณค่ากับสถาบันหรือองค์กรที่สั่งสมชื่อเสียงมาอย่างต่อเนื่อง และสื่อวิชาชีพที่เขาเติบโตมาด้วย ดังนั้น การย้ายแพลตฟอร์มไปสู่ออนไลน์ไม่ได้ลดทอนคุณภาพหรือความเชื่อถือลง หากผู้ผลิตสื่อยังคงยึดถือคุณธรรมและจรรยาบรรณเป็นหลัก
ผศ.ดร.ฉลองรัฐ กล่าวว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับ “แหล่งที่มาของข้อมูล” โดยเฉพาะสื่อที่มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งประชาชนมักจะยอมรับและนำไปปฏิบัติตามมากกว่าสื่อที่ไม่มีหลักฐานรองรับหรือขาดจรรยาบรรณ เพราะหากเนื้อหานั้นมาจากเพจที่ลอกเลียนหรือขาดความรับผิดชอบ ย่อมส่งผลต่อความเชื่อถือของผู้บริโภคโดยตรง ดังนั้น หากใครต้องการทำสื่อออนไลน์ให้ยั่งยืนและได้รับการยอมรับในระยะยาว ต้องเริ่มจากการยึดถือจรรยาบรรณเป็นหลัก และรักษาชื่อเสียงไว้ เพราะถึงแม้สื่อบางรายที่ไม่มีจรรยาบรรณจะสามารถดึงดูดความสนใจผู้คนในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคก็จะหันกลับมาหาสิ่งที่ของแท้และน่าเชื่อถือเท่านั้น
ในทำนองเดียวกัน ผศ.ดร.สามมิติ ก็ยังคองมองว่า ความน่าเชื่อถือของสื่อในยุคนี้ยังคงผูกอยู่กับ “แหล่งที่มา” แต่ในทางปฏิบัติ ผู้บริโภคบางส่วนอาจให้ความสำคัญกับความน่าสนใจมาก่อนความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเมื่อสื่อใช้กลยุทธ์ดึงดูด เช่น การพาดหัวที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น การใส่สีสัน แสง เสียง หรือการใช้ดาราเพื่อเรียกกระแส
แม้สื่อใหม่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนเป็นผู้ผลิต แต่ทั้ง 3 อาจารย์ ต่างย้ำตรงกันว่า จรรยาบรรณคือ ‘หัวใจสำคัญ’ ของการผลิตเนื้อหาอย่างมีคุณภาพ
รศ.ดร.ลักษณา กล่าวว่า จรรยาบรรณสำหรับสื่ออาชีพยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสนอข้อมูลให้ถูกต้อง เหมาะสมตามหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ อย่างไรก็ตาม สื่ออาชีพเองก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภาคธุรกิจ เพราะหากนำเสนอเนื้อหาด้วยความยึดมั่นในจรรยาบรรณเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เป็นที่ถูกใจผู้บริโภค ก็อาจส่งผลให้ผู้ชมหรือผู้ฟังลดลง และหันไปเสพสื่อที่ให้ความรู้สึกใกล้ตัว หรือถูกใจมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ สื่ออาชีพในปัจจุบันจึงมีแนวโน้มที่จะปรับรูปแบบการเล่าข่าวให้เข้าถึงผู้คนมากขึ้น จากเดิมที่เน้นความรอบคอบและระมัดระวัง กลายเป็นการนำเสนอที่เข้าใจง่าย กระชับ และสอดคล้องกับกระแสสังคม เพื่อให้สามารถรักษาฐานผู้ชมไว้ได้ท่ามกลางการแข่งขันของสื่อในยุคปัจจุบัน
พร้อมเน้นย้ำไปที่ส่วนของสื่อใหม่ว่า รศ.ดร.ลักษณา ชี้ว่า ในอดีตแม้จะมีความพยายามควบคุมเนื้อหาสื่อออนไลน์ แต่ด้วยลักษณะเฉพาะที่สามารถผลิตซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ได้ง่าย ทำให้การควบคุมแบบเดิมเป็นไปได้ยาก การใช้กรอบจรรยาบรรณควบคุมเนื้อหาบนโลกออนไลน์จึงอาจไม่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงงานสร้างสรรค์ที่เน้นความคิดริเริ่ม เสรีภาพ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ข้อจำกัดที่มากเกินไปอาจขัดขวางการพัฒนางานครีเอทีฟ
สิ่งสำคัญกว่าการบังคับใช้จรรยาบรรณคือ “การเปิดใจและทำความเข้าใจ” ว่า จริยธรรมควรอยู่ในขอบเขตใด และใครเป็นผู้กำหนดความถูกต้อง เพราะหากความถูกต้องถูกครอบโดยผู้ควบคุม อาจเกิดคำถามว่า ใครมีสิทธิ์บังคับใช้บ้าง การมุ่งเน้นเพียงจรรยาบรรณอาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์เกินไป ควรให้ความสำคัญกับสิทธิในความเป็นเจ้าของความคิด เคารพความแตกต่างทางไอเดีย และส่งเสริมความหลากหลายเชิงสร้างสรรค์ควบคู่กันไปด้วย
แต่ขณะเดียวกันก็มองไม่ได้ต่างกับอาจารย์ท่านอื่น ถึงสิ่งสำคัญที่สุดในการวางรากฐานคือการปลูกฝังทักษะ “รู้เท่าทันสื่อ” ให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เพื่อให้สามารถแยกแยะได้ว่า เนื้อหาใดควรระวัง เนื้อหาใดควรตรวจสอบ แทนที่จะใช้กรอบของจรรยาบรรณเป็นข้อห้ามแบบตายตัว
“อย่างสื่อชาวบ้าน เราไปบังคับอบรมเขาไม่ได้ ชาวบ้านมีสื่อของเขาเยอะมากทั้งสื่อแบบเก่า เสียง ภาพ คลิป ซึ่งคนเหล่านั้นไม่ได้มีปัญหาเรื่องการผลิตสื่อ การเอาหลักจรรยาบรรณหรือกฎหมายสื่อไปกำหนดหรือบังคับคนทั่วไปว่า ทำอย่างนั้นได้ เสนออย่างนี้ไม่ได้ มันไม่สามารถทำได้ในยุคนี้ แต่สิ่งที่ทำได้คือ การทำให้เขาคำนึงถึงคือความถูกต้องและความรับผิดชอบ เพราะถ้าคุยเรื่องจริยธรรรม มันน่าเบื่อ เอาแค่ว่า รับผิดชอบก่อน ถามว่า รับผิดชอบต่ออะไร อย่างน้อยก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่กำลังทำ เนื้อหาถูกต้องไหม ผ่านการตรวจสอบแล้วหรือยัง การนำเสนอเหมาะสมไหม หรือมีความต้องการจะขายสินค้าหรือบริการแต่เพียงอย่างเดียวหรือเปล่า ซึ่งอันนี้ยังเป็นเรื่องยากสำหรับสื่อภาคประชาชน”
อีกด้าน ผศ.ดร.ฉลองรัฐ กล่าวว่า หากไม่มีจรรยาบรรณ เราก็จะขาดกรอบในการประกอบอาชีพ ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้จรรยาบรรณยังคงอยู่ได้ คือ การสนับสนุนจากผู้บริโภค โดยเฉพาะการส่งเสริมงานต้นฉบับ (Original Content) แต่พลังของผู้บริโภคทั่วโลกสามารถช่วยปกป้องงานเหล่านี้ได้
ที่ผ่านมา แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายหลายฉบับควบคุมการเผยแพร่เนื้อหาในสื่อ แต่การบังคับใช้ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ โดยเฉพาะในกรณีข้อมูลบิดเบือน หลอกลวง หรือก่อให้เกิดความเสียหาย แม้ประชาชนสามารถร้องเรียนได้ แต่ขั้นตอนที่ยุ่งยาก ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่าย ทำให้การร้องเรียนเกิดขึ้นน้อย
ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบยังมีข้อจำกัดด้านกำลังคน ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงควรมีการดำเนินคดีและลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อเป็นบรรทัดฐานแก่สังคม และส่งเสริมให้ผู้ผลิตสื่อมีความรับผิดชอบมากขึ้น
“ส่วนหนึ่งคือเจ้าของแพตฟอร์ม เพราะสื่อเวลานำเสนอ ซึ่งจำเป็นมีมาตรการหรือแนวทางจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่น่าเชื่อถือ จัดการกับสื่อที่ไม่ดี หรือเชื่อถือไม่ได้ แล้วไปเชิดชูหรือส่งเสริมสื่อที่ดีให้เขาได้ลืมตาอ้าปากได้หรือให้ได้รับการยอมรับ ซึ่งเจ้าของแพตฟอร์มมีความสำคัญมาก ต้องจัดการใหม่ บูรณาการร่วมกัน เพราะมันใหญ่เกินกว่าที่ใครจะทำคนเดียว”
“ในขณะที่การทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการรู้เท่าทันสื่อ ที่สำคัญคือเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสถาบันการศึกษา ที่ต้องร่วมมือกัน เพื่อให้ความรู้เข้าถึงคนทั่วประเทศ นักศึกษา ประชาชนทั่วไปในชนชั้นกลางที่มีโอกาสรับสื่อ แม้ว่ากลุ่มนี้อาจรับสื่อโดยไม่รอบคอบบ้าง แต่ยังไม่ใช่กลุ่มที่น่ากังวลมากที่สุด
“กลุ่มที่น่ากังวลจริง ๆ คือชาวบ้านทั่วไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หรือคนที่ไม่ได้รับการศึกษาในระบบ เพราะพวกเขาอาจไม่รู้ว่า การรู้เท่าทันสื่อคืออะไร และทำไมถึงสำคัญ จึงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร”
“ดังนั้น หน่วยงานราชการและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จึงต้องเข้ามาให้ความรู้และจัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อนี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความพยายามเผยแพร่ความรู้นี้อยู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงควรมีนโยบายและโครงการที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มชาวบ้านที่ไม่ได้รับการสอนเรื่องนี้ ได้มีความเข้าใจและรู้เท่าทันสื่อมากขึ้น”
ผศ.ดร.สามมิติ กล่าวว่า จรรยาบรรณไม่ใช่เพียงสิ่งที่จำเป็น แต่เป็นหัวใจสำคัญของการผลิตสื่อและการสร้างสรรค์ผลงาน และควรถูกสื่อสารอย่างต่อเนื่องทั้งกับผู้ผลิตและผู้บริโภค เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ โดยเฉพาะการไม่สนับสนุนผลงานที่ละเมิดสิทธิ์ ไม่แชร์เนื้อหาที่ลอกเลียน และส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานต้นฉบับที่มีคุณภาพ
อย่างไรก็ดี ผศ.ดร.สามมิติ เน้นว่า จริยธรรมไม่จำเป็นต้องตีความใหม่ทั้งหมด แต่อาจเป็น ‘การต่อยอด’ จากสิ่งที่มีอยู่เดิมด้วยองค์ประกอบใหม่
“หากจะมีการนิยามจรรยาบรรณใหม่ก็ควรมีการเพิ่มเติมบางส่วนลงไป สิ่งสำคัญคือการใส่รายละเอียดให้เหมาะสมกับบริบทของปัจจุบัน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นในงานออกแบบ หรืองานสร้างสรรค์แขนงอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการทำงานที่ต้องคำนึงถึงทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เพราะจรรยาบรรณไม่ใช่เรื่องของผู้สร้างงานเพียงฝ่ายเดียว แต่รวมถึงผู้บริโภคด้วย การมีจรรยาบรรณทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้เสพสื่อ จะช่วยสร้างสมดุลและความเข้าใจที่ถูกต้องในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น”
ทำไมถึงควรมาเรียนนิเทศ-ออกแบบ-เขียนบทที่ ม.รังสิต
แน่นอนว่า สิ่งที่ต้องเริ่มทำไม่ใช่การควบคุม แต่คือการ “ปลูกจิตสำนึก” ซึ่งควรได้รับการปลูกฝังผ่านระบบการศึกษาและการส่งเสริมความรู้เท่าทันสื่อในทุกระดับ
มหาวิทยาลัยรังสิต จึงได้พัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาโท (มหาบัณฑิต) ที่มุ่งสร้างนักศึกษาที่มีความพร้อมทั้งด้านทักษะวิชาชีพ ความคิดสร้างสรรค์ และจิตสำนึกต่อสังคม
โดยทั้ง หลักสูตรนิเทศศาสตร์ดิจิทัลและสื่อใหม่ หลักสูตรการออกแบบ และ หลักสูตรการเขียนบทและการกำกับภาพยนตร์และซีรีส์ เป็นหลักสูตรระดับปริญญาโท (มหาบัณฑิต) ใช้ระยะเวลา 2 ปี ซึ่งถูกออกแบบให้มีการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริงและมีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในวงการ เพื่อให้นักศึกษาได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และก้าวสู่ตลาดแรงงานอย่างมั่นใจในอนาคต
ผศ.ดร.ฉลองรัฐ เริ่มแนะนำว่า สาขาวิชาการเขียนบทและการกำกับภาพยนตร์และซีรีส์ ไม่ได้เน้นเพียงความรู้เฉพาะด้านการเขียนบทและการกำกับเท่านั้น แต่ยังบูรณาการองค์ความรู้สำคัญทางนิเทศศาสตร์อีก 3 ด้าน ได้แก่ นิเทศศาสตร์ปฏิบัติ นิเทศศาสตร์ทฤษฎี และนิเทศศาสตร์วิพากษ์ เข้าไว้ด้วยกันอย่างครบถ้วน โดยเป็นศาสตร์ที่กว้างขวาง เปิดโอกาสให้นำแนวคิดหรือเรื่องราวหลากหลายมาสร้างสรรค์เป็นผลงานได้หลากหลายรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม การสร้างงานที่มีความเป็นออริจินัลยังเป็นสิ่งสำคัญ นักศึกษาจึงต้องพยายามนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ที่แตกต่างและสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ แม้สื่อภาพยนตร์และซีรีส์จะถูกผลิตมานานและมีจำนวนมาก ทำให้ผลงานใหม่ 100% หาได้ยาก แต่การนำความรู้จากผลงานเดิมมาพัฒนาต่อยอดพร้อมเติมไอเดียใหม่ จะช่วยเพิ่มมูลค่าและเอกลักษณ์ให้กับผลงาน ซึ่งนักศึกษาต้องมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เรียนรู้จากอดีต และพัฒนาผลงานให้มีความโดดเด่นและคุณภาพสูง
“ในหลักสูตรของเราจะสอนการเขียนบทให้สื่อทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ นักศึกษาจะต้องทำเป็นทุกแนว ทุกประเภทและทุกแพตฟอร์ม ซึ่งต้องเป็นเนื้อหาทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบัน ในเรื่องการกำกับ ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ ปฏิบัติงานจริง ได้เจอกับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงที่ผลิตงานที่ชั้นนำของไทยจำนวนมาก นักศึกษาจะได้เรียนทักษะที่ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากคนที่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้นักศึกษาที่จบไป มีงานทำ ประสบความสำเร็จ”
อีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญของหลักสูตรนี้ คือการเป็นรายวิชาที่มหาวิทยาลัยรังสิตเป็นผู้ริเริ่มและเปิดการเรียนการสอนเป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ สนับสนุนให้นักศึกษาได้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยระดับมืออาชีพ ตามมาตรฐานการผลิตของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว บริษัทผลิตภาพยนตร์ขนาดเล็กไม่สามารถจัดหาได้ มหาวิทยาลัยรังสิตให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติจริงกับอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง อันเป็นจุดเด่นที่ช่วยเสริมสร้างความพร้อมในการผลิตสื่อที่มีมาตรฐานในระดับสากล
ภายใต้หลักสูตรยังประกอบด้วยรายวิชาที่เน้นการผลิตภาพยนตร์และซีรีส์โดยเฉพาะ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยยังจัดให้มีโครงการฝึกปฏิบัติจริงในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การควบคุมและบริหารทีมงาน การทำงานร่วมกับนักศึกษาฝึกงาน การระดมความคิดและผลิตภาพยนตร์ร่วมกัน โดยใช้อุปกรณ์ฟิล์มมาตรฐานระดับโรงภาพยนตร์ ซึ่งจัดขึ้นในทุกภาคการศึกษา นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับองค์กรวิชาชีพในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ถ่ายทอดองค์ความรู้และผลิตสื่อคุณภาพในบริบทจริง เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ทั้งในและนอกห้องเรียนอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ ผศ.ดร.สามมิติ กล่าวว่า หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชาการออกแบบ M.F.A. (Design) เป็นหลักสูตรที่ดำเนินการเรียนการสอนอย่างเปิดกว้าง สำหรับผู้เรียนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากหลากหลายสาขาวิชาชีพ โดยหัวใจสำคัญของการเรียนการสอนด้านออกแบบ ไม่ใช่แค่การใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมให้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่คือการพัฒนามนุษย์ให้เป็นสื่อที่มีคุณภาพในตัวเอง ผ่านกระบวนการคิด (Thinking process) ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษารู้จักแยกแยะสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษ มีจริยธรรม และเคารพในความคิดของผู้อื่น
แม้การออกแบบจะเป็นสาขาที่เสี่ยงต่อการลอกเลียนสูง แต่หลักสูตรของคณะเน้นย้ำให้นักศึกษาตระหนักถึงคุณค่าของความคิดต้นฉบับ โดยเปิดโอกาสให้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในอุตสาหกรรม พร้อมจัดการเรียนการสอนในวิชาที่เชื่อมโยงโลกจริง
“มีวิชา Experience Design หรือการออกแบบประสบการณ์ ที่ช่วยให้นักศึกษาได้เห็นโลกภายนอกและเชื่อมโยงความรู้เข้าด้วยกัน โดยผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์และนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจวิธีการออกแบบ และเห็นว่า การคิดค้นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นของตัวเองนั้นว่ามีความสำคัญอย่างไร รวมถึงการต่อยอดสู่ธุรกิจ นักศึกษาจะเห็นประโยชน์ของการคิดสร้างสรรค์มากกว่าการลอกเลียนแบบ เพราะการคิดลึกซึ้งนำไปสู่มูลค่าและรายได้ สร้างธุรกิจได้จริง และเราพยายามสนับสนุนนักศึกษาในจุดนี้”
“ในหลายวิชา เราพัฒนาให้นักศึกษาได้มองเห็นโลกภายนอก ผ่านสถานการณ์จริง แน่นอนว่า เมื่อเป็นคนที่คิดเก่ง ชื่อเสียงและโอกาสจะตามมาเสมอ สิ่งนี้คือสิ่งที่หลักสูตรเราพยายามสร้างและทำได้จริง เราเชื่อว่า หลักสูตรของ ม.รังสิต คือการสร้างคนที่เป็น Original จริง ๆ ในด้านการออกแบบ หลายคนยอมรับว่า เราสร้างคนที่ไม่เหมือนใคร”
อีกทั้งยังมีหลากหลายวิชา เช่น การออกแบบกับความยั่งยืน ประสบการณ์ อีกทั้งมีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ อาทิ นักออกแบบชื่อดังและอาจารย์พิเศษรางวัล Designer of the Year พร้อมเสริมทักษะการ Pitching มืออาชีพ รวมถึงรายวิชา Business Design และ Branding เพื่อรองรับการต่อยอดธุรกิจหลังสำเร็จการศึกษา
นอกจากนี้ ภายในหลักสูตรยังจัดกิจกรรม Experience Design Trip ในต่างจังหวัด เวิร์กช็อปร่วมกับชุมชนท้องถิ่นและวัฒนธรรมไทย และมีแผนจัด Experience Design Trip ระหว่างไทย-ปารีส เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยออกแบบเก่าแก่ของฝรั่งเศส ที่แบรนด์ระดับโลกอย่าง Louis Vuitton และ Dior จองตัวนักศึกษาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ โดยมุ่งหวังว่า จะนำโมเดลมาประยุกต์กับแบรนด์ไทย เชื่อมโยงธุรกิจเข้าร่วมสร้างผลงานจริงในชั้นเรียน โดยขณะนี้โครงการเริ่มดำเนินการแล้ว
รศ.ดร.ลักษณา สิ่งที่จะได้เรียนจากหลักสูตรนิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คือ การพัฒนาทักษะและความเข้าใจเกี่ยวกับสื่อในโลกยุคดิจิทัลอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการ “รู้เท่าทันสื่อ” ซึ่งเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจธุรกิจสื่อ อุตสาหกรรมสื่อ และงานสร้างสรรค์ในสื่อ (Creative Content) ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสม และควรกระทำอย่างมีจริยธรรม ในขณะเดียวกัน ในหลักสูตรยังมีการสอดแทรกเรื่องจรรยาบรรณทางวิชาชีพควบคู่ไปกับการเรียนรู้ประเภทของสื่อ โดยเน้นให้ผู้เรียนตระหนักถึง สิทธิมนุษยชนและความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นพื้นฐานสำคัญในการผลิตและบริโภคสื่อ
นอกจากนี้ หลักสูตรยังครอบคลุมด้านการสื่อสารการตลาดในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา “New Skills” สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน และ “Reskill” สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานอยู่แล้วแต่ต้องการปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีและบริบทใหม่ ๆ รวมถึง “Upskill” เพื่อเสริมศักยภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หลักสูตรเน้นสอนหลักการด้านนิเทศศาสตร์ดิจิทัล การเกิดและการเปลี่ยนแปลงของสื่อใหม่ เพื่อให้นักศึกษาสามารถผลิตงานวิจัยที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัล ความรู้ทั้งด้านทฤษฎีและกระบวนการวิจัยนี้จะเป็นทั้งความรู้และทักษะสำคัญสำหรับคนยุคดิจิทัล
“อีกหนึ่งจุดเด่นคือการบูรณาการองค์ความรู้จากงานวิจัยด้านนิเทศศาสตร์เข้ากับศาสตร์อื่น ๆ ผ่านการปรับปรุงรายวิชาให้ทันสมัย โดยผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะในการสังเคราะห์ความรู้จากประสบการณ์จริง เช่น การลงพื้นที่ศึกษาดูงาน แล้วนำสิ่งที่ได้มาวิเคราะห์ ต่อยอดเป็นชิ้นงานวิจัยหรือโครงการสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านนิเทศศาสตร์กับบริบททางสังคมใหม่”
รศ.ดร.ลักษณา ย้ำว่า หลักสูตรนี้ไม่เพียงเปิดโลกทัศน์ให้กว้างและลึกยิ่งขึ้น แต่ยังช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาวิธีคิดใหม่ ๆ ก้าวสู่เป้าหมายในชีวิตด้วยการอัปสกิลและรีเฟรชตนเองผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ “สนุกและใช้ได้จริง” ในโลกสื่อยุคใหม่ พร้อมทิ้งท้ายว่า “มาเรียนด้วยกัน สนุกแน่นอน!”
ผู้สนใจหลักสูตร สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรังสิต อาคารรัตนคุณากร (ตึก11) ชั้น 2 ห้อง 206
โทร. 02-997-2200 ต่อ 4001-4005
Email. grad@rsu.ac.th
Facebook : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.facebook.com/grad.rsu
เว็บไซต์ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรังสิต https://grad.rsu.ac.th/
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://www.presscouncil.or.th/rule/6126