“หมอธีระวัฒน์” เผยแนวเวชปฏิบัติรักษาโควิด ออกมาใหม่ล่าสุด 18 มิ.ย.68 อ้างว่า “ฟ้าทะลายโจร” ใช้ไม่ได้ผล ทั้งที่แนวปฏิบัติก่อนหน้านี้เคยระบุให้ใช้ โดยอ้างเอกสาร 2 ฉบับ ซึ่งถ้าอ่านดีๆ สนับสนุนฟ้าทะลายโจรด้วยซ้ำ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธานศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudhaหัวข้อ “ฟ้าทะลายโจร ยาประจำบ้าน” ระบุว่า รมว.สาธารณสุขถอดฟ้าทะลายโจร ออกจากการรักษาโควิดในคู่มือเวชปฏิบัติ เดือนมิถุนายน 2567 และใส่ยาฟาวิพิราเวียซึ่งไวรัสดื้อจนหมดสิ้นแล้ว และไม่อยู่ในตำรับการใช้ก่อนหน้ามานานแล้ว และทำให้ ขณะนี้ สถานพยาบาลใช้ฟาวิพิราเวียแทน จ่ายให้ผู้ป่วย
การยื่นบันทึกร้องถาม เหตุผลและข้อมูลของกรรมการโควิด กรมการแพทย์ และ อย.ต่อรัฐมนตรีสาธารณสุขนั้น กระทำโดยผ่านสำนักกฏหมายอรุณอมรินทร์ มีความประสงค์ที่จะให้ถอดเทปคำต่อคำ ใครเป็นผู้เสนอข้อมูลให้ถอด หลักฐานข้อมูลคืออะไร และการตัดสินของคณะกรรมการขึ้นอยู่กับอะไร และทำไมฟาวิพิราเวีย ถึงปรากฏตัวอยู่ในเวชปฏิบัติ ฉบับล่าสุดนี้ ฟ้าทะลายโจรราคาถูกปลูกได้ในประเทศไทย
ฟาวิพิราเวียต้องสั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศและให้องค์การเภสัชทำเม็ด
เราต้องการความโปร่งใส ฟ้าทะลายโจร ใช้ได้ในอาการไข้หวัดไม่ว่าจะเล็ก กลาง ใหญ่ ใช้ตั้งแต่เริ่มต้นมีอาการ ใช้สองวันหายก็เลิกกิน ถ้าดีขึ้นแต่ไม่หายสนิทก็กินต่อให้ครบห้าวัน ตับอักเสบไม่เกิด ยกเว้นมีโรคตับอยู่แล้ว เลยไปโทษยา หรือกินยา พารา มากเกิน ข้อแนะนำ เลยเกิดตับอักเสบ หรือ การติดเชื้อไวรัสนั้นทำให้เกิดตับอักเสบ
“ฟ้าทะลายโจร” ถูกด้อยค่า ออกจากแนวเวชปฏิบัติรักษาโควิด แต่บรรจุให้ใช้ “ฟาวิพิราเวียร์” แทนทั้งที่ เลิกไปแล้ว เพราะไวรัส ดื้อต่อ ฟาวิ ตั้งแต่หลังจาก ที่มีการโหมให้คนติดเชื้อทุกคนมีหรือไม่มีอาการก็ตามกินตอน 2564
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000059816
การรายงานโดยศาสตราจารย์แพทย์ พญ สยมพร ศิรินาวินและคณะ ในคนที่ติดเชื้อโควิดซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีวัคซีน ในช่วงปลาย 2020 ถึง มีค 2021 พบว่าไม่มีปอดบวมในคนที่ได้รับฟ้าทะลายโจร และ ปอดบวม 10.7% ในคนที่ไม่ได้ยา
และไม่พบการอักเสบจากการดูระดับ CRP ในคนที่ได้รับยา (0% ต่อ 17.9%) ถึงแม้จะมีคนติดเชื้อในการศึกษาไม่มาก แต่เป็นการ ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
https://www.fortunejournals.com/.../efficacy-and-safety...
และถัดมาเป็นการศึกษาโดยคณะเดียวกันในเจ็ดโรงพยาบาล ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พบ ปอดบวมในหนึ่งราย จากทั้งหมด 243 ราย ในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจร และ 69 รายจากทั้งหมด285 ราย ในกลุ่มที่ไม่ได้รับ ไวรัสยังคงเป็นอู่ฮั่นในระลอกสองซึ่งมีการยกตัวระบาดรุนแรง การศึกษาเป็น prospective design และประเมิน retrospective
http://www.fortunejournals.com/.../effect-of-andrographis...
ในระยะต่อมาเมื่อเริ่มมีการระบาดสายพันธุ์อัลฟ่า จาก รพ อุดร 344 ราย เดือนเมษายน 2564 ถึงเดือนสิงหาคม 2564 หลังผู้ป่วยได้รับยาสารสกัดหยาบฟ้าทะลายโจร มีความรุนแรงของโรคในเรื่องการไอเจ็บคอ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ถ่ายเหลว หายใจเหนื่อยลดลง การรับรสและการได้กลิ่นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
https://he02.tci-thaijo.org/.../udhhosmj/article/view/265091
หมายเหตุ
การดูปริมาณไวรัสจากการแยงจมูก ไม่สามารถบ่งบอกความรุนแรงของโรคได้
และการที่ไวรัสหายไปเร็วจากจมูกนั้นไม่ได้บอกว่ายานั้นดีกว่าหรือไม่ดีกว่า
เราต้องไม่ลืมว่าแม้แต่ยาปัจจุบันราคาแพง
โมนูพิราเวีย ไวรัสหายไประยะแรกแล้วก็กลับโผล่ขึ้นมาใหม่ได้ 10-20% จากการแยงจมูกปาก
สำคัญที่ตัวคนป่วย การดูที่อาการไม่ว่าจะเป็นอาการในปอดหรืออาการในระบบร่างกายว่าดีขึ้นเร็วหรือไม่ ต่างหาก
รัฐมนตรีสาธารณสุขถอดฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดและใส่ฟาวิพิราเวียร์ ที่ไวรัสดื้อไปหมดหมดแล้วทำไม?
หลังจากที่มีการให้หลักฐานและบันทึกผ่านทางสำนักงานกฎหมายอรุณอมรินทร์ ท่านรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้ทบทวนและยกเลิกมติของกรรมการผู้เชี่ยวชาญเวชปฏิบัติ และอธิบดีกรมการแพทย์ได้ย้ายไปสู่กรมอื่น
และในปี 2568 เดือนมิถุนายนมีการออกคู่มือเวชปฏิบัติการรักษาโควิดว่าฟ้าทะลายโจร ไม่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน
• ดังนั้น เหตุการณ์กลับมาเหมือนเมื่อปี 2567 และต้องมีการ สืบค้น คณะกรรมการในปี 2568 นี้อีก ทั้งการประชุมควรต้องมีการถอดเทปคำต่อคำ รวมทั้งหลักฐานทั้งหมดในการสรุป มิฉะนั้นแล้วจะเป็นการ เสียประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ โพสต์ข้อความให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัยในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 นั้น ได้ระบุให้ใช้ฟ้าทะลายโจรด้วย แต่ต่อมาได้มีการออกแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัย ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2567 ตัดฟ้าทะลายโจรออกจากการรักษาโควิด-19 ออก ส่วนยา“ฟาวิพิราเวียร์” ที่นำเข้าจากต่างประเทศ แม้การทดลองพิสูจน์ว่าใช้ไม่ได้ผลกลับยังให้ใช้ต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการทักท้วง จึงได้กลับไปใช้แนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัยฉบับวันที่ 18 เมษายน 2567 ซึ่งยังมีฟ้าทะลายโจรอยู่
สำหรับแนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) พ.ศ. 2568 วันที่16 มิถุนายน 2568 ที่ระบุว่าฟ้าทะลายโจรใช้ไม่ได้ผลนั้น อ้างอิงจากเอกสาร 2 ฉบับ ซึ่งถ้าอ่านเนื้อหาจริงๆ แล้วกลับสนับสนุนฟ้าทะลายโจรด้วยซ้ำ
เอกสารอ้างอิงแรก คือ Andrographis poniculata extract versus placebo in the treatment of COVD-19: a double-blinded randomized control trial. Res Pharm Sci 2023:18-592-603.
เป็นการเปรียบเทียบฟ้าทะลายโจรกับยาหลอกในผู้ป่วยที่“ไม่มีอาการหรืออาการน้อยมาก”ทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบ double-blinded RCT ดูอาการ ประเมินประสิทธิผลและเหตุการณ์ ไม่พึงประสงค์ ตลอดจนติดตามการทำงานของตับและไตเพื่อความปลอดภัย
พบว่าผลลัพธ์ไม่ต่างกันแต่ฟ้าทะลายโจรนั้นบรรเทาอาการปวดหัวรวมทั้งการที่ไม่ได้รับกลิ่นได้ตั้งแต่ในวันที่หนึ่งและวันที่สอง
ทั้งนี้ผู้ป่วยได้รับ ฟ้าทะลายโจร ที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มก. 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 5 วัน
มีผู้ป่วย 165 รายเข้าร่วมการศึกษา (ผู้ป่วย 83 รายในกลุ่ม ฟ้าทะลายโจร และผู้ป่วย 82 รายในกลุ่มยาหลอก)
อาการของ โควิดดีขึ้น ในวันสุดท้ายของทั้งสองกลุ่ม ทั้งนี้้ พบว่า ฟ้าทะลายโจร บรรเทาอาการปวดศีรษะได้อย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 1 และอาการสูญเสียการรับกลิ่นในวันที่ 2 เมื่อเทียบกับยาหลอก การประเมินโดยรวมแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วย 80.7% หายขาดได้อย่างสมบูรณ์หลังจากการรักษาด้วย ฟ้าทะลายโจร เป็นเวลา 5 วัน อาการท้องเสียเล็กน้อยเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด หายภายในไม่กี่วัน ไม่มีความเป็นพิษต่อตับหรือไตที่เกี่ยวข้องกับการรักษา
นัยสำคัญ
ในการสรุปว่า ฟ้าทะลายโจรไม่ได้มีผลในเรื่องความรุนแรงในผู้ป่วย ซึ่งก็ตรงไปตรงมา เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้ มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการอยู่แล้ว ตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ตาม สามารถลดอาการสูญเสียการรับกลิ่นได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ตลอดระยะเวลาการใช้ 5 วัน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เอกสารอ้างอิงที่ 2 Efficacy of Andrographis paniculata extract treatment in mild to moderate COVID-19 patients being treated with favipiravir: A double-blind, randomized, placebo-controlled study (APFaVi trial)
การให้ฟ้าทะลายโจรคู่กับฟาวิพิราเวียน์เทียบกับฟาวิพิราเวียร์อย่างเดียว ผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน แต่กลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจรคู่กับฟาวิพิราเวีย มีระดับ cytokine ที่ก่อให้เกิดการอักเสบลดลง โดยทำ double-blinded RCT ในประเทศไทยระหว่างเดือนมิถุนายน - กันยายน 2564 ในผู้ป่วยที่ไม่รุนแรงและได้รับ ฟ้าทะลายโจร 180 มก./วันร่วมกับฟาวิพิราเวียร์ หรือยาหลอกร่วมกับฟาวิพิราเวียร์
ประเมินประสิทธิภาพในการป้องกันการดำเนินของโรค ในวันที่ 4 ของการรักษาโดยใช้คะแนนตาม เกณฑ์ ขององค์การอนามัยโลกและมาตรการ Visual analog scale (VAS) สำหรับอาการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน
จากผู้ป่วย 146 ราย มีผู้ป่วย 73 รายในแต่ละกลุ่ม อาการไม่เลวลง ในวันที่ 4 คือ 98.63% เทียบกับ 97.26% ของผู้ป่วยในกลุ่ม ฟ้าทะลายโจรและฟาวิพิราเวีย และกลุ่มยาหลอกกับ ฟาวิพิราเวีย (p = 1.000)
และไม่มีความแตกต่างในเรื่องการให้ออกซิเจนเสริม การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตในทั้งสองกลุ่ม
การให้ออกซิเจนเสริมอยู่ที่ 4.11% ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก-ฟาวิพิราเวีย
การวัดระดับ IL-1β ซึ่งเป็น pro inflammatory cytokine ที่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายพบว่ามีระดับ ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่ม ฟ้าทะลายโจรร่วมกับฟาวิพิราเวีย เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกและ ฟาวิพิราเวีย
ตลอดการศึกษา ไม่พบความแตกต่างในผลลัพธ์ทางไวรัสวิทยาระหว่างกลุ่ม และไม่มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญ
ข้อสรุป : การรักษาด้วย ฟ้าทะลายโจร ร่วมกับ ฟาวิพิราเวียร์ ไม่ได้ดีกว่ากลุ่มฟาวิพิราเวีย ในทางคลินิกและทางไวรัสวิทยา ในผู้ป่วย โควิด ที่มีอาการระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
แต่ประการ สำคัญก็คือ การที่ฟ้าทะลายโจรสามารถลดระดับ IL-1β ในระยะเริ่มต้น อาจเป็นประโยชน์ในการป้องกัน ภาวะอักเสบในร่างกายอย่างรุนแรง ( cytokine storm )ในโควิด ที่จะทำให้อาการของโรคเลวร้าย และควรต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
ตามที่นำมาอ้างว่าฟ้าทะลายโจรไม่มีประโยชน์ไม่ได้ผล แต่แท้จริงกลับเป็นข้อดีของฟ้าทะลายโจร ว่ากินดีกว่าไม่กิน
นอกจากนั้น มีรายงานมากมายเกี่ยวกับประโยชน์ของฟ้าทะลายโจรตั้งแต่การศึกษาในหลอดทดลอง ทำให้ทราบกลไกการออกฤทธิ์ ว่ามีหลายขั้นตอนในการต่อสู้กับไวรัส แทนที่จะเจาะจงอยู่ในขั้นตอนเดียวแบบในปัจจุบันที่ใช้ ดังนั้นจึงสามารถครอบคลุมไวรัสโควิดในสายพันธุ์ย่อยต่างๆได้โดยไม่ต้องกลัวการกลายพันธุ์ และนอกจากนั้นยังสามารถครอบคลุมไวรัสที่อยู่ในตระกูลไข้หวัดใหญ่และอื่นๆ อีกด้วย
วารสารทางการแพทย์ชื่อ Journal of Natural Productsเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 เป็นผลงานการวิจัยของกลุ่มนักวิจัยของมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ยาฟ้าทะลายโจร ได้ถูกนำมาทดสอบในผู้ป่วยจริง “ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด” โดยมีการตีพิมพ์รายงานใน วารสารกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ฉบับเดือนมกราคม - เมษายน 2564 ซึ่งวิจัยโดย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งในช่วงปี 2564 ถือได้ว่า เป็นห้วงเวลาสถานการณ์ของโควิด-19 ที่เลวร้ายที่สุดคือเป็นสายพันธุ์เดลต้า มีความรุนแรงสูง ที่มีอัตราปอดอักเสบสูงถึง 14% ขณะที่คนไทยเกือบทั้งหมดยังไม่ได้รับวัคซีน และ มีจำนวนมากที่ยัง ยังไม่เคยติดเชื้อนี้มาก่อน จึงยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
ฟ้าทะลายโจรช่วยลดความเสี่ยงปอดอักเสบ จาก 14.64% เหลือ 0.97%
การรายงานโดยศาสตราจารย์แพทย์ พญ สยมพร ศิรินาวินและคณะ ในคนที่ติดเชื้อโควิดซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีวัคซีน ในช่วงปลาย 2020 ถึง มีค 2021 พบว่าไม่มีปอดบวมในคนที่ได้รับฟ้าทะลายโจร และ ปอดบวม 10.7% ในคนที่ไม่ได้ยา
และไม่พบการอักเสบจากการดูระดับ CRP ในคนที่ได้รับยา (0% ต่อ 17.9%) ถึงแม้จะมีคนติดเชื้อในการศึกษาไม่มาก แต่เป็นการ ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
https://www.fortunejournals.com/.../efficacy-and-safety...
และถัดมาเป็นการศึกษาโดยคณะเดียวกันในเจ็ดโรงพยาบาล ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พบ ปอดบวมในหนึ่งราย จากทั้งหมด 243 ราย ในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจร และ 69 รายจากทั้งหมด285 ราย ในกลุ่มที่ไม่ได้รับ
ไวรัสยังคงเป็นอู่ฮั่นในระลอกสองซึ่งมีการยกตัวระบาดรุนแรง
การศึกษาเป็น prospective design และประเมิน retrospective
http://www.fortunejournals.com/.../effect-of-andrographis...
ในระยะต่อมาเมื่อเริ่มมีการระบาดสายพันธุ์อัลฟ่า จาก รพ อุดร 344 ราย เดือนเมษายน 2564 ถึงเดือนสิงหาคม 2564
หลังผู้ป่วยได้รับยาสารสกัดหยาบฟ้าทะลายโจร มีความรุนแรงของโรคในเรื่องการไอเจ็บคอ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ถ่ายเหลว หายใจเหนื่อยลดลง การรับรสและการได้กลิ่นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
https://he02.tci-thaijo.org/.../udhhosmj/article/view/265091
การดูปริมาณไวรัสจากการแยงจมูก ไม่สามารถบ่งบอกความรุนแรงของโรคได้
และการที่ไวรัสหายไปเร็วจากจมูกนั้นไม่ได้บอกว่ายานั้นดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ต้องไม่ลืมว่าแม้แต่ยาปัจจุบันราคาแพงโมนูพิราเวีย ไวรัสหายไประยะแรกแล้วก็กลับโผล่ขึ้นมาใหม่ได้ 10-20% จากการแยงจมูกปาก
สำคัญที่ตัวคนป่วย การดูที่อาการไม่ว่าจะเป็นอาการในปอดหรืออาการในระบบร่างกายว่าดีขึ้นเร็วหรือไม่
อีกทั้งมีข้อมูลในวารสารทางวิทยาศาสตร์ ลงลึก ถึงกลไกการออกฤทธิ์ต่อต้านไวรัส
ใน ปี 2024 มีรายงานการศึกษาในวารสาร Nature ถึงกลไกฟ้าทะลายโจรในการระงับไวรัสโควิด โดยควบกับสมุนไพรตัวอื่น
https://www.nature.com/articles/s41598-024-54722-5
ประการสำคัญคือ ฟ้าทะลายโจร สามารถต่อต้านไวรัสได้หลายกลุ่ม และความที่มีกลไกออกฤทธิ์ได้หลายตำแหน่งทำให้ สู้ได้แม้ว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์
สมุนไพรอื่นก็ เช่นกัน ได้แก่ ขมิ้นชัน พลูคาว ยาในตำรับจารึกแพทย์แผนไทย ยาขาว และอื่นๆอีกมากมายมีการใช้ในชุมชน และมีการรายงานทางวิทยาศาสตร์ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนระบาดของโควิดจนถึงปัจจุบัน จากประเทศตะวันตก ซึ่งในที่สุดประเทศนอก ก็จะนำสมุนไพรเหล่านี้เป็นยาและกลับมาขายแพง
แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) พ.ศ. 2568 Coronavirus Disease 2019 (COVID-19) Treatment Guidelines 2025
16 มิถุนายน 2568 “ที่ระบุว่าไม่ได้ผล”
เอกสารอ้างอิง
(1)Kanokkangsadal P, Mingmalairak C, Mukkasombat N, Kuropakompong P, Worawattananutai P, Khawcharoenpom T, et al. Andrographis poniculata extract versus placebo in the treatment of COVD-19: a double-blinded randomized control trial. Res Pharm Sci 2023:18-592-603.
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39005565/
เป็นการเปรียบเทียบฟ้าทะลายโจรกับยาหลอกในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อยมาก พบว่าผลลัพธ์ไม่ต่างกันแต่ฟ้าทะลายโจรนั้นบรรเทาอาการปวดหัวรวมทั้งการที่ไม่ได้รับกลิ่นได้ตั้งแต่ในวันที่หนึ่งและวันที่สอง
บทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees ได้รับการแนะนำให้ใช้เพื่อบรรเทาอาการและลดความรุนแรงของ COVID-19 การศึกษาทางคลินิกมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบประสิทธิผลและความปลอดภัยของสารสกัดเอธานอลจาก A. paniculata (APE)
• วิธีการทดลอง: ประสิทธิผลและความปลอดภัยของ APE ในผู้ป่วย COVID-19 ที่“ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย”เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกได้รับการตรวจสอบผ่านการทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบปกปิดล่วงหน้าแบบสองทาง
• ผู้ป่วยได้รับ APE ที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มก. สามครั้งต่อวันเป็นเวลาห้าวัน มาตราการความคืบหน้าของ WHO อาการของ COVID-19 และการประเมินโดยรวมได้ประเมินประสิทธิผลและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ตลอดจนติดตามการทำงานของตับและไตเพื่อความปลอดภัย
ผลการศึกษา:
• ผู้ป่วย 165 รายเข้าร่วมการศึกษา (ผู้ป่วย 83 รายในกลุ่ม APE และผู้ป่วย 82 รายในกลุ่มยาหลอก)
• ระดับความก้าวหน้าของ WHO สูงสุดคือ 4 และ
• อาการของ COVID-19 ได้รับการบรรเทาลงอย่างมีนัยสำคัญในวันสุดท้ายของการแทรกแซงในทั้งสองกลุ่ม โดยไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม
• APE บรรเทาอาการปวดศีรษะได้อย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 1 และอาการสูญเสียการรับกลิ่นในวันที่ 2 เมื่อเทียบกับยาหลอก การประเมินโดยรวมแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วย 80.7% หายขาดได้อย่างสมบูรณ์หลังจากการรักษาด้วย APE เป็นเวลา 5 วัน อาการท้องเสียเล็กน้อยเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด โดยการใช้ยาขนาดสูงจะหายภายในไม่กี่วัน ไม่มีความเป็นพิษต่อตับหรือไตที่เกี่ยวข้องกับการรักษา
ข้อสรุปและนัยสำคัญ:
• APE ในปริมาณ 180 มก./วันเป็นเวลา 5 วันไม่ได้ลดความก้าวหน้าของ COVID-19 ในผู้ป่วย COVID-19 ที่“ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ”
• อย่างไรก็ตาม สามารถลดอาการสูญเสียการรับกลิ่นได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ตลอดระยะเวลาการใช้ 5 วัน
(2)Sirpongboonsitti T, Ungtrakul T, Tawinprai K, Auewarakul C, Chartisathian W, Jansala T, et al.
Efficacy of Andrographis paniculata extract treatment in mild to moderate COVID-19 patients being treated with favipiravir: A double-blind, randomized, placebo-controlled study (APFaVi trial)
การให้ฟ้าทะลายโจรคู่กับฟาวิพิราเวียเทียบกับฟาวิพิราเวียอย่างเดียว ผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน
แต่กลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจรคู่กับฟาวิ มีระดับไซโตคายน์ ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ลดลง
วิธีการ:
การทดลองแบบสุ่มสองทางควบคุมด้วยยาหลอกแบบปกปิดได้ดำเนินการในประเทศไทยระหว่างเดือนมิถุนายน - กันยายน 2564 ผู้ป่วย COVID-19 ที่ไม่รุนแรงได้รับการสุ่มแบบ 1:1 เข้ากลุ่มที่ได้รับ APE 180 มก./วันร่วมกับฟาวิพิราเวียร์ (กลุ่ม APE-FPV) หรือยาหลอกร่วมกับฟาวิพิราเวียร์ (กลุ่มยาหลอก-FPV) ประเมินประสิทธิภาพในการป้องกันการดำเนินของโรคไปสู่ COVID-19 ที่รุนแรงในวันที่ 4 โดยใช้คะแนนมาตราการความก้าวหน้าทางคลินิกขององค์การอนามัยโลก (WHOCPS) และมาตราการอนาล็อกภาพ (VAS) สำหรับอาการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน
ผลลัพธ์:
• จากผู้ป่วย 146 ราย มีผู้ป่วย 73 รายในแต่ละกลุ่ม คะแนน WHOCPS ที่ไม่ลดลงในวันที่ 4 คือ 98.63% เทียบกับ 97.26% ของผู้ป่วยในกลุ่ม APE-FPV และกลุ่มยาหลอก-FPV (p = 1.000)
• ไม่มีความแตกต่างระหว่างการให้ออกซิเจนเสริม การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตในทั้งสองกลุ่ม
• การให้ออกซิเจนเสริมอยู่ที่ 4.11% ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก-FPV
• อินเตอร์ลิวคิน (IL)-1β ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่ม APE เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก-FPV
• ตลอดการศึกษา ไม่พบความแตกต่างในผลลัพธ์ทางไวรัสวิทยาระหว่างกลุ่ม และไม่มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญ
ข้อสรุป: การรักษาด้วย APE ร่วมกับ ฟาวิพิราเวีย ไม่ได้แสดงให้เห็นประโยชน์ทางคลินิกและไวรัสวิทยาเพิ่มเติมในผู้ป่วย COVID-19 ระดับเล็กน้อยถึงปานกลางที่ได้รับการรักษาด้วยฟาวิพิราเวียร์
การลดระดับ IL-1β ในระยะเริ่มต้นด้วย APE อาจเป็นประโยชน์ในการป้องกันพายุไซโตไคน์ใน COVID-19 ที่รุนแรง และต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37625206/