รู้หรือไม่ว่า ผลกระทบจากปัญหามลภาวะ ทำให้ประชาชนคนไทยป่วยมากขึ้นทุกวัน ยืนยันจากคลังข้อมูลสุขภาพ (Health Data Center ; HDC) กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2567 ระบุว่า คนไทยมีอาการป่วยด้วย 4 กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ได้แก่ กลุ่มโรคทางเดินหายใจ กลุ่มโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองอุดตันขาดเลือด กลุ่มโรคตาอักเสบ กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ รวมกันกว่า 12 ล้านราย คิดเป็นอัตราป่วย 18,180 คนต่อแสนประชากร
ขณะที่รายงานความเสี่ยงระดับโลกประจำปี 2025 (The Global Risk Report 2025) โดย World Economic Forum พบว่า ความเสี่ยงในระยะสั้นด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดคือ ปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงแบบสุดขั้ว (Extreme weather events) และปัญหามลภาวะ (Pollution) ซึ่งผลกระทบนี้ไม่จำกัดอยู่เพียงแค่มิติสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อมิติเศรษฐกิจ มิติสังคม และมิติความมั่นคงของประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะปัญหามลภาวะทั้งทางอากาศ น้ำ ดิน ที่ยังคงเป็นเรื่องเรื้อรังของไทยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
ด้วยการตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงเกิดเป็นความร่วมมือระหว่าง 5 กองทุน ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) ร่วมกันจัดตั้ง “กองทุนด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ด้วยเจตนารมณ์ที่จะสานพลังขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีจังหวัดลำปางเป็นพื้นที่นำร่องเพราะเป็นจังหวัดที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากมลภาวะสิ่งแวดล้อมอันดับหนึ่งของประเทศไทย
ชู ‘ลำปาง’ จังหวัดนำร่อง
ปฐมบทความร่วมมือสร้างเมืองสุขภาวะที่ดีและยั่งยืน
“การมีอะไร จะสำคัญมากไปกว่าการมีชีวิต แต่การมีชีวิตจะมีประโยชน์อะไร ถ้าขาดซึ่งสุขภาพ” คำกล่าวนี้ของ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะสุขภาพที่ดีคือหนึ่งในหัวใจสำคัญสำหรับมนุษย์ในการที่เราจะมีชีวิตอยู่และทำสิ่งต่าง ๆ ในโลกใบนี้
อย่างไรก็ดี นพ.พงศ์เทพ ย้ำว่า การที่คนเราจะมีสุขภาพที่ดี เกิดจากปัจจัยทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ โดยสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้เกี่ยวกับข้องกับการใช้ชีวิต เช่น ถ้าเราไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ และไม่กินหวานมันเค็มจนเกินพอดี หรือเวลาใช้รถใช้ถนน ไม่ดื่มแล้วขับ ขับรถตามกฎจราจร สวมหมวกนิรภัย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุหรือความรุนแรงหากเกิดอุบัติเหตุ ถ้าทำได้อย่างนี้ โอกาสที่เราจะอายุยืนยาวเกินค่าเฉลี่ยของประเทศไทยคือ 76 ปี ก็มีโอกาสอยู่สูงมาก
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราหนีไม่ได้หรือควบคุมไม่ได้ นั่นก็คือสิ่งแวดล้อม ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าเราอยู่ในจังหวัดที่มีมลพิษ PM 2.5 สูง แน่นอนว่า ถ้ามีฐานะหน่อย คุณก็อยู่ในห้องแอร์และติดเครื่องฟอกอากาศ แต่จะไม่ออกมาข้างนอกบ้างเลยเหรอ อันนี้แหละครับคือสิ่งที่ล้อมรอบตัวเรา และทำให้เราจำเป็นต้องใช้อากาศร่วมกับคนอื่น ใช้น้ำและดินที่อาจจะมีสารพิษปนเปื้อน ดังนั้น สุขภาพจึงไม่ใช่แค่ตัวเรากำหนด แต่สังคม สิ่งแวดล้อมจะกำหนดสุขภาพเราเช่นกัน”
ด้วยเหตุนั้น การใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม จึงเท่ากับเป็นการใส่ใจในสุขภาพของมนุษย์ไปด้วยในขณะเดียวกัน และนั่นก็มาสู่ความร่วมมือครั้งสำคัญของ “5 กองทุน” ซึ่งได้สานพลังร่วมกันจัดตั้งกองทุนด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Collaborative Plan of Revolving funds for Environmental and Climate Actions) เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีบูรณาการ
โดย นพ.พงศ์เทพ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การใช้ระบบกลไกของกองทุนหมุนเวียน การบริหารแบบกึ่งรัฐ-กึ่งเอกชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ มีความยืดหยุ่นในการจัดการปัญหา เพราะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน หากสามารถบูรณาการความร่วมมือป้องกันและแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ จะทำให้ไทยมีสิ่งแวดล้อมที่ดีเอื้อต่อการมีสุขภาวะดี
“ผมเชื่อมั่นว่า เมื่อทุกกองทุนจับมือกันโดยการสานพลัง ซึ่งการสานพลัง หมายความว่าเรารู้ว่าเรามีจุดแข็งอะไร จุดอ่อนอะไร และเราหาคนอื่นมาช่วยปิดจุดอ่อนของเรา แล้วมาทำงานร่วมกัน และสุดท้าย งานที่ว่ายาก ก็จะสำเร็จได้” นพ.พงศ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น
ทั้งนี้ จากความร่วมมือดังกล่าว ได้มีการจัดทำแผนและกำหนดพื้นที่นำร่องแห่งแรกคือจังหวัดลำปาง เพราะเห็นว่าเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศค่อนข้างสูงจากก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งจากข้อมูลบ่งชี้ว่า จังหวัดลำปางมีจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุดในประเทศ ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจังหวัดแรกของประเทศ จังหวัดลำปางจึงเป็นพื้นที่นำร่องของการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 5 กองทุน โดยมีการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาจังหวัดลำปางให้เป็นเมืองสุขภาวะที่ดีและยั่งยืนภายใน 3 ปี (2568 - 2570)
จากการเปิดเผยข้อมูลโดย นางรพีพร ขันโอฬาร รองผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ระบุถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานว่า ตั้งแต่ปี 2567 ได้มีการหารือกันในส่วนกลางว่ากองทุนไหนจะทำด้านไหนอย่างไร และทำอย่างไรจะเกิดผลเป็นรูปธรรม เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจึงนำลงไปสู่ระดับพื้นที่ และได้เลือกพื้นที่จังหวัดลำปาง โดย 5 กองทุนมีการลงพื้นที่พบปะพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดลำปาง ทั้งผู้บริหารท้องถิ่น ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม เพื่อเช็กข้อมูลว่าคนในพื้นที่ต้องการให้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องใดบ้าง
โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนในจังหวัดลำปางต้องการให้กองทุนช่วยขับเคลื่อนมากที่สุดคือการเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียว ไปจนถึงการจัดการขยะ น้ำเสีย นอกจากนั้นยังมีเรื่องของมลพิษทางอากาศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในจังหวัดลำปางค่อนข้างสูง
“เมื่อเราไปหารือกับทุกภาคส่วนในจังหวัดลำปางแล้ว ก็ได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา พร้อมทั้งจัดทำแผนความร่วมมือ โดยตั้งผลลัพธ์ไว้ 4 ประเด็น คือ 1.ต้องมีแผนงานโครงงานด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระหว่าง 5 กองทุน 2.ต้องสร้างเครือข่ายองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม ในการจัดการสิ่งแวดล้อม 3.ต้องการมีขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในจังหวัดลำปางให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และ 4. ต้องขับเคลื่อนการทำงานเพื่อลดชุมชนหรือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ
“4 ประเด็นหลักนี้คือสิ่งที่เราจะขับเคลื่อนไปพร้อมกันในจังหวัดลำปาง โดยหลังจากนี้จะมีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยในจังหวัดลำปางเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมต่อไป” นางรพีพร กล่าวถึงความคืบหน้าของการบูรณาการความร่วมมือ
5 กองทุน พร้อมจับมือสานพลัง
สร้างความหวังใหม่ให้ประเทศด้านสิ่งแวดล้อม
เพราะการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต้องอาศัยการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกองทุน เพื่อการเสริมพลังการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ให้ความเชื่อมั่นว่า สกสว. พร้อมให้ความร่วมมือในการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อผลักดันสู่เป้าหมายให้จังหวัดลำปางเป็นเมืองสุขภาวะดีและยั่งยืน ตามแผนปฏิบัติการที่เห็นชอบร่วมกัน
“สกสว. พร้อมสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม ผ่าน ‘กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.)’ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมและระบบการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน” ศ.ดร.สมปอง กล่าวยืนยันถึงเจตนารมณ์ความร่วมมือ
ขณะที่ ดร.จิตตินันท์ เรืองวีรยุทธ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนสิ่งแวดล้อม (กองทุนสิ่งแวดล้อม) ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ในยุคที่ 9 ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกำลังขับเคลื่อนสู่หายนะครั้งที่ 6 ของโลก นั่นหมายความว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่หายนะยุคที่ 6 ของมวลมนุษยชาติ และถ้าเราไม่ทำอะไรตั้งแต่วันนี้ เราจะก้าวไปสู่การสูญเสียในรุ่นลูกรุ่นหลาน
ดังนั้น การบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 5 กองทุน ถือเป็นมิติใหม่ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีความเข้มแข็ง และตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยคำนึงทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล และสร้างความเข้มแข็งของชุมชนไปพร้อมกันด้วย
“กองทุนสิ่งแวดล้อมเราก็เล็งเห็นปัญหาที่ต้องแก้ไข ทั้งเรื่องโลกร้อน การอบรมเสริมสร้างความรู้ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและท้องถิ่นที่จะมาร่วมกันดำเนินการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ส่วนต้นน้ำเราได้มีการเสริมสร้างปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียว กลางน้ำก็คือ ชุมชน ทำอย่างไรให้ชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนอยู่ได้ และหน่วยงานภาครัฐก็ต้องมีการบูรณาการ จัดการร่วมกัน ส่วนเรื่องปลายน้ำ เป็นเรื่องของขยะ ของเสียต่าง ๆ แน่นอนว่า ทั้งสามส่วนต้องมีการบูรณาการร่วมกัน และวันนี้ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่หลายกองทุนมาร่วมมือกันเพื่อให้การดำเนินการเกิดความเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืนต่อไป
“ที่ผ่านมา กองทุนสิ่งแวดล้อม สผ. ได้สนับสนุน จ.ลำปาง ผ่านโครงการเกี่ยวกับมลพิษสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พัฒนาศักยภาพสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) ให้สามารถจัดทำแผนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับจังหวัด ครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด รวมถึง จ.ลำปาง ให้เป็นรูปธรรมต่อไป” ดร.จิตตินันท์ กล่าวถึงทิศทางที่เป็นความหวังไม่เพียงเฉพาะจังหวัดลำปาง แต่รวมถึงทุกพื้นที่ของประเทศไทย
และนั่นก็สอดคล้องกับมุมมองของ นายอัมรินทร์ วงษ์พันธุ์ รองผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเห็นว่า การบูรณาการความร่วมมือในครั้งนี้คือความหวังใหม่ของประเทศในการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การรวมเงินกัน แต่เป็นการรวมถึงเป้าหมาย การหาจุดร่วมระหว่างกองทุนต่าง ๆ เพื่อให้ทรัพยากรทุกบาทสตางค์ได้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
“ณ วันนี้ กองทุนด้านการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานกำลังขยายบทบาทเพิ่มเติมในการเป็นตัวเชื่อมระหว่างนโยบายของรัฐในระดับชาติลงมาสู่การปฏิบัติในท้องถิ่น ตัวเชื่อมระหว่างความรู้ วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม เทคโนโลยี กับความรู้ของภาคประชาชน รวมถึงเป็นตัวเชื่อมระหว่างการอนุรักษ์พลังงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม วันนี้เราทุกคนคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอนาคต เราทุกคนมีบทบาท แต่บทบาทจะไร้ซึ่งพลัง ถ้าไม่มีกลไกในการขับเคลื่อนความคิด อุดมคติ ให้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ถ้าทุกกองทุนร่วมมือกัน เราจะไม่ใช่เพียงแค่กองทุนที่มีเงิน แต่เราจะเป็นกองทุนที่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนแปลงเรื่องสิ่งแวดล้อมในอุดมคติให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้และดำเนินการได้จริง และเราจะไม่ได้แค่รักษาโลกไว้ให้กับคนรุ่นหลัง แต่เราอาจจะกำลังสร้างโลกใบใหม่ที่ดีขึ้นให้กับพวกเขาอย่างแท้จริง” นายอัมรินทร์ กล่าวด้วยความหวังและเชื่อมั่น
ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะรู้ว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. คือเสาหลักด้านการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ แต่อันที่จริง สปสช. ได้มีการขยับบทบาทให้หลากหลายและกว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย มีความท้าทายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเด็นเรื่องมลพิษทางอากาศ สปสช. จึงมองว่า จะทำแค่เรื่องสุขภาพไม่ได้แล้ว เพราะบ่อยครั้ง เรื่องปัญหาสุขภาพก็ไม่สามารถแยกออกจากเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะภูมิอากาศได้
ดร.นงลักษณ์ ยอดมงคล ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า สปสช. มีแผนยุทธศาสตร์ 4 ปี คือ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก เยาวชน คนพิการ นอกจากนั้นยังมีการยกระดับบริการปฐมภูมิที่สอดคล้องกับประเด็นปัญหาในแต่ละพื้นที่ และที่สำคัญ กองทุน สปสช. ยังให้การสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมมลพิษทางอากาศ หรือปัญหาสุขภาพทางเดินหายใจ เพื่อร่วมสร้าง Green Health และสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ
ปี 2567 – 2568 มีโครงการที่ประชาชนของบสนับสนุนเพื่อทำโครงการเกี่ยวกับปัญหาทางเดินหายใจประมาณสองพันกว่าโครงการ รวมเป็นงบประมาณเกือบ 4 พันล้าน แต่ สปสช. ก็ยังต้องการได้ความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วนในการที่จะทำให้งบประมาณของ สปสช. เกิดผลลัพธ์ที่ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง
“จากวิสัยทัศน์ของท่านนายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ที่มุ่งเน้นให้ขับเคลื่อนเรื่องซีโร่คาร์บอน สปสช. เราจึงพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนทั้งเรื่องการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการของประชาชน การจัดบริการสุขภาพและสังคมสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับกลุ่มเปราะบางในแต่ละพื้นที่ และที่สำคัญคือการใช้องคาพยพของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการที่จะขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพซึ่งไม่สามารถแยกขาดจากกันได้” ดร.นงลักษณ์ กล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นของ สปสช.
สุดท้ายแล้วต้องยอมรับว่า การบูรณาการความร่วมมือครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นอีกก้าวที่สำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยโดยมีจังหวัดลำปางเป็นพื้นที่นำร่องซึ่งท้ายที่สุดอาจจะนำไปสู่การเกิดเป็นโมเดลใหม่สำหรับประเทศไทยในด้านสิ่งแวดล้อม แต่ทั้งนี้ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ได้กล่าวย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่นว่า การจะบรรลุเป้าหมายได้นั้น สิ่งสำคัญคือความร่วมมืออย่างจริงจังของทุกภาคส่วน
“สสส. ขอเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะมาร่วมมือกันของ 5 กองทุน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่มารวมพลังกันในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม แต่การที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะแก้ไขให้สำเร็จได้ มีความยาก ถ้าจับมือร่วมกัน ก็จะช่วยกันได้ดีขึ้น การ Synergy กัน จะทำให้เห็นภาพชัดเจน มาทำเรื่องเดียวกันเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เป็นโจทย์ที่ท้าทาย และที่สำคัญ เราต้องทำงานร่วมกับประชาชนในพื้นที่ เพราะเราไม่สามารถอาศัยการบังคับหรือการจัดการด้วยกองทุนได้ ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม ให้ชุมชนรวมพลังกันเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการจัดการปัญหาร่วมกัน” นพ.พงศ์เทพ กล่าวย้ำในตอนท้าย