xs
xsm
sm
md
lg

W9 ชวนเปิดมุมมอง วิเคราะห์ไขมันเชิงลึก “ถอดรหัสไขมัน” แนะทางเลือกธรรมชาติ เพื่อสุขภาพหัวใจที่ยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



W9 wellness center เปิดมุมมองทบทวนความเชื่อเดิมเกี่ยวกับไขมัน LDL ซึ่งเคยถูกขนานนามว่าเป็น “ไขมันเลว” แต่ในปัจจุบันได้ยกเลิกฉายานี้ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย ในความเป็นจริง LDL ไม่ใช่คอเลสเตอรอล/ไขมันเลว แต่เป็นเพียงแค่ “พาหนะ” ที่ใช้ขนส่งคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดเท่านั้น ซึ่ง LDL มีบทบาทสำคัญในการลำเลียงคอเลสเตอรอลไปยังเซลล์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการสร้างฮอร์โมน วิตามินดี เยื่อหุ้มเซลล์ ปลอกหุ้มเส้นใยประสาท ใช้ผลิตน้ำดี และยังใช้ในกระบวนการสร้าง โคเอนไซม์คิวเทน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานในระดับเซลล์อีกด้วย

LDL หรือ Lipoprotein เป็นโปรตีนขนส่งชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอล จากตับไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เพื่อใช้ในการสร้างเซลล์ ฮอร์โมน และวิตามินดี ในขณะที่คอเลสเตอรอล เป็นสารไขมันชนิดหนึ่ง (Steroid Lipid) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากมีระดับของทั้ง LDL และคอเลสเตอรอล มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด นำไปสู่ความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะในกรณีของคอเลสเตอรอล ที่ต้องอาศัย LDL เป็นพาหนะในการเคลื่อนที่ การทำความเข้าใจบทบาทที่แตกต่างกันของทั้ง LDL และ คอเลสเตอรอล จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการประเมินและดูแลสุขภาพหัวใจอย่างมีประสิทธิภาพ


นพ. พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์ แพทย์ผู้อำนวยการ W9 Wellness Center กล่าวว่า ประเด็นเกี่ยวกับไขมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งมีการถกเถียงกันในวงกว้าง เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของโลก และมีรายละเอียดเชิงลึกค่อนข้างมาก ในแง่งานวิจัย ก็ยังคงค้นพบมุมมองและกลไกใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ทั้งกลไกการทำงาน การเกิดโรค และในแง่การรักษา ซึ่งมีการตีพิมพ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ LDL และ คอเลสเตอรอล ในประเด็นสำคัญจะเปลี่ยนมุมมองเดิมที่เคยมีต่อ LDL ที่มักถูกเรียกว่า ‘ไขมันเลว’ ไปอย่างสิ้นเชิง ดังนี้

LDL เป็นโปรตีนขนส่งไขมันที่ตับ สร้างขึ้นมาเองเป็นหลัก LDL จากอาหารเป็นเพียงปัจจัยส่งเสริมทางอ้อม ที่จะกระตุ้นให้ตับผลิต LDL มากขึ้นหรือน้อยลง โดยไขมันจากอาหารจะส่งผลโดยตรงต่อระดับ ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ส่วนระดับ LDL จะมีผลจากปัจจัยทางพันธุกรรม และการใช้ชีวิต (Lifestyle) มากกว่า เช่น ความเครียดเรื้อรัง คุณภาพการนอนหลับ และอายุที่มากขึ้นที่ส่งผลกับระดับฮอร์โมนเพศที่ลดลง เมื่อฮอร์โมนเพศลดลง ตับก็จะกำจัด LDL ได้น้อยลง จึงมี LDL ค้างอยู่ในเลือดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การคงสมดุลฮอร์โมนให้ดีสมวัย ก็จะส่งผลดีต่อสมดุลไขมันในเลือด รวมทั้งความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย


ระดับการอักเสบสะสมหรือเรื้อรังในร่างกาย โดยเฉพาะผนังหลอดเลือด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยร่วมที่ควรได้รับการพิจารณา หากเปรียบเทียบหลอดเลือดในร่างกายกับระบบท่อน้ำหรือสายยาง การที่ผนังหลอดเลือดมีการอักเสบเรื้อรัง ก็เปรียบเสมือนท่อน้ำที่มีตะกรัน หรือสายยางที่มีคราบตะไคร่น้ำ ผนังหลอดเลือดที่ขรุขระ ไม่ลื่นเรียบ หรือเสียความยืดหยุ่น ก็จะทำให้การไหลของเวียนของเลือดไม่มีประสิทธิภาพ เกิดความเสี่ยงต่อการเกาะติดและอุดตันได้ง่ายขึ้น ซึ่งสามารถตรวจคัดกรองได้จากระดับโปรตีนที่ตอบสนองต่อการอักเสบ ในสภาวะที่ร่างกายปกติ ไม่มีการเจ็บป่วย หรือการอักเสบเฉียบพลัน

ขนาดและจำนวนของ LDL ต่างหาก ที่มีผลกับความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือดมากกว่า ปริมาณ LDL รวมที่เราตรวจวัดกันอยู่ในการตรวจคัดกรองสุขภาพประจำปีทั่วไป “ไขมันเลว” ที่แท้จริงก็คือ LDL ขนาดเล็ก (เล็กกว่า 22-29 nm) ส่วน LDL ที่มีขนาดใหญ่ พบว่ามักจะไม่ใช่ตัวร้ายที่ก่อการอุดตันบริเวณผนังหลอดเลือดเท่ากับ LDL ขนาดเล็ก ดังนั้น คนที่มีระดับ LDL 130 mg/dl เท่ากัน อาจจะมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันได้มาก ดังที่แสดงตัวอย่างในภาพ ซึ่งการตรวจสมดุลไขมันเชิงลึกจะช่วยให้สามารถมองเห็น “โครงสร้าง” ซึ่งบ่งบอก “คุณภาพ” ของไขมันได้ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่แค่ “ปริมาณ” ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงความจำเป็นในการใช้ยารักษาได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะกับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันสูง คนที่ไขมันสูงมานาน ผู้สูบบุหรี่ หรือผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย


ด้านการรักษาโรคไขมันโลหิตสูงด้วยยาลดไขมัน ยาลดระดับไขมันโดยทั่วไปจะถูกใช้เมื่อไม่ประสบความสำเร็จกับการปรับการใช้ชีวิต ในแง่การรักษาด้วยการใช้ยาลดไขมัน ยังถือว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง และยังคงมีความจำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นการใช้ยาลดไขมัน อาจไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อลดระดับไขมันเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีงานวิจัยเชิงป้องกันแนะนำว่า การใช้ยาลดไขมัน สามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุในผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้ด้วย แต่ยาทุกชนิดล้วนมีข้อดีและข้อเสีย การที่ทราบถึงข้อเสียและข้อควรระวังไว้ก่อนก็ถือเป็นสิ่งที่ดี

ข้อควรระวัง เมื่อต้องใช้ยาลดไขมันกลุ่ม Statins ต่อเนื่อง ผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อ เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งมีอาการตั้งแต่เล็กน้อย ซึ่งอาจพบอาการปวดกล้ามเนื้อได้ประมาณ 5-10% ไปจนถึงกล้ามเนื้อสลายตัวรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลต่อตับ เช่น ทำให้ค่าเอนไซม์ตับสูงขึ้น ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีโรคตับรุนแรง และควรสังเกตอาการ เช่น เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร หรือมีภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาตับ บางกรณียังพบว่า Statins โดยเฉพาะในขนาดสูง อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และอาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น ความจำสั้นหรือสับสนชั่วคราว ซึ่งมักดีขึ้นเมื่อหยุดยา

W9 Wellness Center เน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อควบคุมระดับไขมัน LDL โดยไม่พึ่งพายา ผ่านการปรับไลฟ์สไตล์ เช่น การเลือกอาหารแนว Whole-food Plant-based ลดไขมันอิ่มตัวและอาหารแปรรูป เสริมใยอาหาร และออกกำลังกายแบบ Anti-aging เพื่อกระตุ้นฮอร์โมนและเพิ่มไขมันดี (HDL) นอกจากนี้ ยังเน้นการดูแลตับให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะระบบดีท็อกซ์ เพื่อป้องกันการสะสมของ homocysteine ที่กระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและสมองเสื่อม พร้อมทั้งอาจพิจารณาการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ เช่น Plant sterols, Niacin, Berberine, Red yeast rice, Flaxseed และสารสกัดชาเขียว ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่าช่วยลด LDL ได้อย่างปลอดภัย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ W9 Wellness Center
กำลังโหลดความคิดเห็น