“รัฐมนตรีสมศักดิ์” ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มขึ้นช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม มอบกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค แจงแนวทางปฏิบัติตัวและการรักษา แนะยกระดับป้องกันเข้ม ทั้งเว้นระยะห่าง ล้างมือ เลี่ยงสถานที่แออัด หากป่วยให้สวมหน้ากากอย่างน้อย 5 วัน ป้องกันแพร่เชื้อผู้สูงอายุในบ้านและกลุ่มเสี่ยง เผยความรุนแรงของโรคและอัตราเสียชีวิตต่ำใกล้เคียงไข้หวัดใหญ่ รักษาได้ตามอาการ ไม่จำเป็นต้องหยุดทำงานหรือปิดโรงเรียน ยกเว้นกลุ่มเสี่ยง 608 หรือผู้มีอาการรุนแรงควรรีบไปโรงพยาบาล ยืนยันเตียงและยารักษามีเพียงพอ
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา โดย นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จากฤดูฝนที่มาเร็วขึ้นและมีการเปิดภาคเรียน อีกทั้งยังเป็นช่วงที่พบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการคล้ายกัน จึงให้สื่อสารแนวทางปฏิบัติตัวกับประชาชนเพื่อให้มีการป้องกันตนเองมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้ประชาชนส่วนหนึ่งเริ่มผ่อนคลายการป้องกันตนเอง ซึ่งหากทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตัวเพื่อช่วยลดการแพร่เชื้อก็จะทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงมาได้ สำหรับผู้เสียชีวิตในปี 2568 นี้มี 69 ราย ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่ม 608 ที่เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว และอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีคนจำนวนมากหรือเป็นเมืองท่องเที่ยว คือ กทม. 22 ราย ชลบุรี 8 ราย จันทบุรี 7 ราย เชียงใหม่ 3 ราย เป็นต้น อัตราการเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น
“ผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง 608 หากติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรง สามารถหายเองได้ หรืออาจรับประทานยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูก แต่หากมีอาการมาก หรือเป็นกลุ่ม 608 หรือ เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ขอให้รีบไปโรงพยาบาลทันที ดังนั้นในช่วงนี้ที่มีการเปิดเทอม จึงมีข้อควรระวังคือ การป้องกันไม่ให้เด็กที่ไปโรงเรียนติดโควิดแล้วนำกลับมาแพร่เชื้อต่อผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรงได้” นพ.ทวีศิลป์กล่าว
นพ.สุทัศน์กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนจะเป็นไปตามฤดูกาล คือ เมื่อเข้าฤดูฝนและเปิดเรียนจะพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาที่อยู่รวมกลุ่ม เกิดการแพร่กระจายได้ง่าย ทำให้ขณะนี้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 สูงขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 3 มิถุนายน 2568 พบผู้ป่วยโรคโควิด 19 จำนวน 324,692 ราย อัตราป่วยอยู่ที่ 500.20 ต่อประชากรแสนคน จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ กทม. ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์ ภาพรวมแนวโน้มผู้ป่วยเริ่มเพิ่มขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 เป็นต้นมา และช่วงสัปดาห์ที่ 19-22 จำนวนผู้ป่วยสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงสุด 93,621 ราย ส่วนสัปดาห์นี้พบ 28,392 ราย สำหรับมาตรการควบคุมป้องกันโรค ยังเน้นย้ำมาตรการส่วนบุคคล คือ การเว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และแม้อัตราเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ แต่ต้องพึงระวังกลุ่ม 608 โดยมีข้อแนะนำเพิ่มเติม คือ ให้เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลด้วย
“ขณะนี้การระบาดของโควิด 19 ในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์ XEC ซึ่งติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการไม่ได้รุนแรง เป็นเหมือนกับโรคไข้หวัดทั่วไป สะท้อนได้จากอัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก ผู้ป่วยหลายรายหายได้เองโดยไม่ต้องรับประทานยา และเมื่อติดเชื้อยังไม่มีความจำเป็นต้องหยุดการเรียนการสอนหรือหยุดการทำงาน” นพ.สุทัศน์กล่าว
ด้าน นพ.สกานต์กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน คือ กรณีอาการไม่มากและไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถดูแลรักษาเหมือนไข้หวัดทั่วไป คือ ใช้ยารักษาตามอาการ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ส่วนกลุ่มที่ควรรีบไปพบแพทย์คือมีอาการมากขึ้น ได้แก่ ไข้สูงมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป มีอาการหอบเหนื่อย ซึมลง หรือ ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 95% และกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้สูงอายุ กลุ่มโรคเรื้อรัง 7 โรค เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี และหญิงตั้งครรภ์ และเนื่องจากปัจจุบันโรคนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อร้ายแรง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะต้องรับไว้นอนโรงพยาบาลหรือไม่หรือใช้ยาอย่างไร ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด 19 นอนรักษาในโรงพยาบาลไม่มาก เฉพาะโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ใน กทม. มีผู้ป่วยนอนรักษา 7 ราย มีเตียงพร้อมรองรับคนไข้ประมาณ 50 กว่าเตียง ส่วนยารักษาหลักๆสำหรับกลุ่มที่มีอาการมาก หรือ เป็นกลุ่มเสี่ยง ยังเป็นยาเรมดิซีเวียร์และแพกซ์โลวิด จากการสอบถามโรงพยาบาลต่างๆ ยังสามารถจัดหากับบริษัทยาได้โดยตรง ไม่ได้ขาดแคลน รวมถึงองค์การเภสัชกรรมมีการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับใช้ในกลุ่มอาการปานกลางไม่ได้รุนแรงหรือลงปอดเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อความมั่นใจว่ายาจะไม่ขาดแคลน
“ขณะนี้ไม่ได้มีคำแนะนำว่าเมื่อป่วยแล้วต้องหยุดทำงานเพื่อกักตัว การลาหยุดให้เป็นไปตามดุลพินิจของแพทย์เหมือนโรคติดต่อทั่วไปอื่นๆ เพียงแต่ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอด โดยเฉพาะ 5 วันแรกของการป่วย ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มกับคนจำนวนมาก เช่น การนั่งประชุมร่วมกัน หรือรับประทานอาหารร่วมกัน หากเป็นไปได้ขอให้สวมหน้ากากอนามัยต่ออีก 3-5 วัน ส่วนโรงเรียนหากมีนักเรียนป่วยหลายคน ขอให้นักเรียนที่ป่วยหยุดเรียน โดยไม่จำเป็นต้องปิดชั้นเรียนหรือปิดโรงเรียน เนื่องจากเด็กวัยเรียนไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรง” นพ.สกานต์กล่าว