เลือกได้ และดูออก ไม่ถูกหลอกแบบง่าย ๆ เพราะภายใต้ลวดลายน่ารักตัวการ์ตูนและมีกลิ่นหอมของทอย พอด นั้น ซ่อนพิษร้ายอันตรายถึงชีวิต! สสส. จับมือ ธปท. จัดนิทรรศการมีชีวิต FAKE OR FRESH? - MY LIFE EXHIBITION กระชากหน้ากาก “บุหรี่ไฟฟ้า” เปิดโปงทุกความจริงและความลวงของกลยุทธ์การตลาดที่หลอกล่อเด็ก-เยาวชนให้หลงกลเข้าสู่วังวนของนักสูบ
ต้องยอมรับว่า ณ ปัจจุบัน บุหรี่ไฟฟ้าคืออีกหนึ่งปัญหาที่น่าเป็นห่วง แม้จะมีการปราบปรามอย่างเข้มข้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดได้ และเหนืออื่นใด ยังมีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับสิ่งเสพติดชนิดนี้ที่บรรดาผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าพยายามหลอกล่อให้หลงเชื่อ ดึงดูดเหยื่อรายใหม่ และที่น่าตกใจคือการรุกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กอายุน้อยลงทุกทีซึ่งมีการทำบุหรี่ไฟฟ้าประเภท Toy Pod ให้ดูน่ารักเหมือนของเล่น ที่เห็นแล้วเหมือนจะไร้พิษภัย ทั้งที่ความจริงอันตรายรุนแรง
ด้วยความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. จึงสานพลังความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดนิทรรศการมีชีวิต FAKE OR FRESH? - MY LIFE EXHIBITION ภายใต้โครงการ “รู้ทันสื่อ รู้ทันภัย ป้องกันเยาวชนไทยจากบุหรี่ไฟฟ้า” โดยเริ่มเปิดให้เข้าชมได้ฟรีที่ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย ถ.สามเสน กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. ถึงวันที่ 22 มิ.ย. 2568 เวลา 10.00 – 12.00 น. ทุกอังคาร-วันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์)
ส่องวิกฤติบุหรี่ไฟฟ้า รุกจู่โจมกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี
พบข้อมูลสุดอึ้ง! ผู้หญิงและกลุ่ม LGBTQIA สูบเพิ่มขึ้นหลายเท่า
วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี กำหนดให้เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก ซึ่งในปี 2568 นี้มีคำขวัญว่า “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคตินเสพติด จน ตาย” ด้วยมุ่งหมายให้ประชาชนตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าที่นับวันจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นทุกที และเป็นการกะเทาะความจริงเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดและโฆษณาชวนเชื่อที่ดึงเหยื่อรายใหม่ให้เข้าสู่วังวนของการเสพติดคนแล้วคนเล่า ซึ่งตอนนี้แม้แต่เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้วจาก “ทอย พอด” (Toy Pod) ที่ใช้ลวดลายน่ารักเป็นตัวล่อลวง
จากการให้ข้อมูลโดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ระบุถึงผลสำรวจที่ สสส. ร่วมกับ ดร.วศิน ศิวสฤษดิ์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้ทำการศึกษาสถานการณ์ค่าใช้จ่ายในการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของกลุ่มผู้สูบบุหรี่ต่าง ๆ ในไทย ซึ่งทำให้ได้พบข้อมูลน่าวิตกอย่างยิ่ง
“ล่าสุด 2568 มีเด็กและเยาวชนอายุ 15-24 ปี มีจำนวนผู้ชายสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 13% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณสองเท่า ผู้หญิง 5.1% ซึ่งดูเหมือนน้อยแต่เพิ่มขึ้นประมาณสี่เท่า เพราะเมื่อก่อนอยู่ที่ประมาณ 1.4% เท่านั้นเอง ผู้สูบยิ่งอายุน้อยยิ่งมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าสูบบุหรี่มวน เหตุผลหลักที่สูบคือเพื่อคลายเครียดและติดนิโคตินจนไม่สามารถเลิกได้”
ทั้งนี้ พบรายงานข่าวการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กอายุน้อยลงเรื่อย ๆ โดยนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เก็บข้อมูลในโรงเรียนประถมศึกษา ช่วงเดือนมกราคม 2567 พบว่า “43% ของเด็กประถมปลาย เคยลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า” และนักเรียนหญิงมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่านักเรียนชาย
และที่น่าตกใจไม่แพ้กัน คือผลวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของกลุ่มตัวอย่าง 4 จังหวัดภาคใต้ 1,029 คน ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และ สงขลา พบว่า กลุ่มผู้หญิง และ LGBTQIA+ ส่วนใหญ่สูบบุหรี่ไฟฟ้า คิดเป็นเปอร์เซ็นต์หนึ่งร้อยคนที่สูบบุหรี่ จะมีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 65% ขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่ยังคงสูบบุหรี่โรงงานหรือบุหรี่มวน
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ผลสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2567 จะบอกว่าคนไทยมีแนวโน้มสูบบุหรี่ลดลงอยู่ที่ 16.5% แต่ภาคใต้ยังมีการสูบบุหรี่มากที่สุด 22.2% มีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเป็น 900,459 คน เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี จำนวน 251,625 คน ถือว่าเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในเวลา 3 ปี
แน่นอนว่าผลกระทบที่ตามมาอย่างแรกสุดคือเรื่องของรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นเพราะการสูบบุหรี่มวนอย่างเดียวต้องเสียเงินซื้อ 892.67บาทต่อเดือนคิดเป็น 7.16%ของรายได้หลักขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเดียวอยู่ที่ 1,080.81 บาทต่อเดือนคิดเป็น 16.43% และถ้าสูบทั้งสองอย่างรายจ่ายจะเพิ่มขึ้นถึง 1,290.74 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 9%
แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือผลกระทบด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงกับการสูญเสียทางเศรษฐกิจเพราะต้องเสียเงินในการรักษาเมื่อมีอาการเจ็บป่วยจากผลพวงของการสูบบุหรี่ โดยข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยให้เห็นถึงต้นทุนค่ารักษาพยาบาลจากโรคที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าปี 2567 ใน 4 โรค คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหอบหืด รวมสูงถึง 306,636,973 บาท
“สถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าเวลานี้ถือว่าสำคัญมากบางคนอาจจะบอกว่าเราไม่เห็นสูบและไม่เห็นใครสูบเลยต้องบอกว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่าถ้าเราดูอายุค่าเฉลี่ยของคนไทยผู้ชายอายุค่าเฉลี่ยน้อยกว่าผู้หญิง 9ปีสาเหตุหลักก็คือสูบบุหรี่และดื่มเหล้านอกจากนี้พอคำนวณปีสุขภาวะที่หายไปบุหรี่ทำให้สุขภาวะคนไทยหายไป 2.5ล้านปีต่อปีอธิบายก็คือว่าถ้ามีคนตายก่อนวัยเช่นจากโรคหัวใจมะเร็งปอดปอดอุดกั้นเรื้อรังซึ่งจริงๆเขาต้องอยู่ไปจนถึงอายุ 80แต่เขาตายไปตอนอายุ 40นั่นหมายถึงชีวิตเค้าหายไป 40 ปี บางคนพิการก่อนอัมพาตก่อนโดยเวลาชีวิตที่หายไปของคนไทยบวกกันทุกคนในหนึ่งปีหายไป 2.5 ล้านปีเลยทีเดียวดังนั้นถ้าเราหยุดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าได้ก็จะทำให้คนไทยอายุยืนยาวขึ้นและไม่พิการหรือป่วยติดเตียงก่อนวัยอันควร” นพ.พงศ์เทพกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงห่วงใย
FAKE OR FRESH?
เราเลือกได้ และดูออก ไม่ถูกหลอกให้เป็นเหยื่อ
เพราะอุตสาหกรรมยาสูบมีการปรับกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การสร้างความรับรู้และการตระหนักรู้เพื่อให้เกิดการรู้เท่าทันอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ สสส. จึงร่วมมือกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดนิทรรศการมีชีวิต FAKE OR FRESH? – MY LIFE EXHIBITION ภายใต้โครงการ “รู้ทันสื่อ รู้ทันภัย ป้องกันเยาวชนไทยจากบุหรี่ไฟฟ้า” สร้างความเข้าใจเกมการตลาดที่จ้องหลอกเด็กและเยาวชนให้หลงกลกับกลิ่นหวาน ๆ แต่จบด้วยความเสี่ยงที่ไม่คุ้ม
ด้วยการเล็งเห็นถึงวิกฤติและพิษภัยจากการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นพ.พงศ์เทพ เปิดเผยว่า สสส. ได้ทำงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมเป็นพลังในการสังคมที่ห่างไกลและปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยงของบุหรี่ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ลด ละ เลิกสูบบุหรี่ทุกชนิด เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองและคนรอบข้าง
“วันนี้เป็นโอกาสดีที่ สสส. ได้จับมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย ในการที่จะทำให้เด็กสามารถเข้าถึงความรู้และอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ด้วยการจัดนิทรรศการมีชีวิต FAKE OR FRESH? ที่ผ่านการออกแบบเนื้อหาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายคือเยาวชน โดยนิทรรศการนี้จะไม่ใช่เป็นการให้ความรู้ในลักษณะที่มีภาพน่ากลัว เช่น รูปคนสูบบุหรี่ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ที่เห็นแล้วน่ากลัว แต่พยายามทำให้เห็นว่า ในกลไกของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีลวดลายการ์ตูนน่ารักและมีกลิ่นที่หอมหวานนั้นซ่อนพิษร้ายไว้อย่างไรบ้าง และถ้าเด็กไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า จะช่วยให้เขาประหยัดเงินได้อย่างมากมายแค่ไหน กล่าวโดยสรุปคือเป็นนิทรรศการอินเตอร์แอคทีฟที่เด็ก ๆ สามารถมีส่วนร่วม และมีกิจกรรมที่ชวนตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นและเลือกให้ถูกโดยไม่ตกเป็นเหยื่อของบุหรี่ไฟฟ้า”
ความน่าสนใจของนิทรรศการดังกล่าวคือการออกแบบที่สวยงามดึงดูดความสนใจ และเข้าถึงวัยเด็กได้อย่างเหมาะสม มีการนำสื่อนวัตกรรมมาเป็นเครื่องมือนำเสนอและให้เด็กร่วมทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดทั้งความเพลิดเพลินและได้ความรู้ไปด้วย โดยนิทรรศการแบ่งออกเป็น 2 โซนสุดว้าวที่จะทำให้น้อง ๆ เยาวชนสนุกกับการเรียนรู้อย่างเต็มอิ่มตลอดสองชั่วโมงของการเข้าชม
โซนที่ 1 Tunnel Exhibition : Magic Milk หมือนเดินเข้าโลกแฟนตาซีแต่ได้สติกลับมาด้วยการเปิดประสบการณ์สำรวจบุหรี่ไฟฟ้ามี 3ห้องห้องแรกมีแอปเปิลสีสดใสเป็นตัวแทนแสดงถึงกลิ่นหอมเย้ายวนใจห้องสองแสดงเบื้องหลังความสวยงามที่หลอกล่อของแอปเปิลหรืออุตสาหกรรมยาสูบที่ใส่สารพิษอันตรายและห้องสามเป็นห้องมืดสนิทมีการตั้งคำถามชวนติดตามและแสดงวิดีโอเพื่อสัมผัสแสงสีเสียงที่จะกระตุ้น
โซนที่ 2 “FACT บุหรี่ไฟฟ้า” เปิดโปงความจริงที่แอบอยู่หลังของเล่นอย่าง “Toy Pod” ซึ่งจะช่วยสรุปความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีอันตรายซ่อนอยู่ภายใต้หน้าตาแสนน่ารักหรือ Toy Pod ชวนให้รู้ทันเทรนด์และแคมเปญการสื่อสารหลอกล่อของบรรดาผู้ผลิตและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ไปจนถึงราคาสุขภาพที่ต้องจ่ายถ้าสูบบุหรี่ไฟฟ้า และเงินออมที่จะต้องสูญไปเมื่อเดินเข้าสู่วงจรนักสูบ
แน่นอนว่านิทรรศการดีๆแบบนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความตั้งใจอันดีของธนาคารแห่งประเทศไทยที่พร้อมร่วมเป็นเป็นพลังดูแลสังคมด้วยการเปิดศูนย์การเรียนรู้ธปท.บริการประชาชนตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในหลายๆด้านทั้งเศรษฐกิจการเงินการธนาคารประวัติศาสตร์สังคมและสิ่งแวดล้อมผ่านบริการห้องสมุดพิพิธภัณฑ์เงินตราการจัดนิทรรศการและกิจกรรมอื่นๆ
ดร.โสภี สงวนดีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ครั้งนี้ ธปท. ได้ร่วมกับ สสส. จัดนิทรรศการเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อสร้างความตระหนักด้านสุขภาพ เพราะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่น่ากังวลและส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก เป็นหนึ่งในปัญหาสังคมที่มีแนวโน้มการใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และแพร่ลงไปถึงเด็กนักเรียนระดับประถมแล้วในปัจจุบัน
“ศูนย์การเรียนรู้ ธปท. เป็นที่รู้จักของกลุ่มคนที่หลากหลาย โดยเฉพาะเด็กนักเรียน เยาวชน ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป จึงมั่นใจว่าจะมีส่วนสนับสนุนกิจกรรมให้บรรลุเป้าประสงค์สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโทษและอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างแท้จริง” ดร.โสภี สงวนดีกุล กล่าวอย่างเชื่อมั่น
เลี้ยงลูกยุคใหม่ หัวใจต้องรู้ทันภัยบุหรี่ไฟฟ้า
แนวทางป้องกันเด็ก-เยาวชนห่างไกล Toy Pod
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ Toy Pod หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่แปลงร่างเป็นอาร์ตทอยมาในรูปแบบของตัวการ์ตูนหรือของเล่นชนิดต่างๆได้ตอกย้ำถึงการล่อลวงเด็กและเยาวชนให้ตกเป็นเหยื่อ เพราะการออกแบบด้วยรูปลักษณ์รสสัมผัสกลิ่นหอม เพื่อเป็นหน้ากากหลอกเด็กว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อันตรายไม่มีพิษภัยทั้งที่ความจริงแล้วตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองหรือคุณครูถ้าไม่ได้ติดตามหรือระแวดระวังเพียงพอก็จะอาจจะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เด็กๆพกนั้นเป็นบุหรี่ไฟฟ้า
การสร้างความเข้าใจให้เด็ก ๆ ตระหนักรู้และเท่าทัน จึงเป็นหัวใจสำคัญในการหยุดวงจรอุบาทว์ของบุหรี่ไฟฟ้า ดังที่ ครูชีวัน วิสาสะ นักเขียน นักเล่านิทาน นักวาดภาพประกอบ เจ้าของผลงานนิทานอีเล้งเค้งโค้ง พับปลอดพอด ได้เล่าผ่านนิทานสร้างสรรค์เรื่อง “หูไว ตาไว” ที่กระตุ้นให้เด็กรู้ทันเล่ห์กลของ “ทอย พอด”
“ทอย พอด อันตราย ทำให้ลวดลายดูน่ารักน่าจับต้องเหมือนตุ๊กตาตัวน้อย ๆ แต่แฝงไว้ด้วยพิษภัยร้ายแรง เราต้องรู้จัก เราต้องระวัง หูไว ตาไว เพราะว่าทอยพอดก็จะทำเลียนแบบของเล่น ถ้าเราไม่ระวัง เราก็เผลอไปหยิบมันมา เผลอหยิบไม่พอ ทดลองสูบมันอีก ก็ตกเป็นเหยื่อทันที ดังนั้นแล้ว เมื่อเห็นอะไรแปลก ๆ อย่างเห็นหลอดบนหัวของตุ๊กตุ่นตุ๊กตา ก็เตือนตัวเองว่า มันคือทอย พอด และเราไม่เอา ไม่เอาทอยพอด” ครูชีวันเล่าเตือนในรูปแบบของนิทาน
และนั่นก็สอดคล้องกับสิ่งที่ ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ หรือ “คุณหมอวิน” เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “เลี้ยงลูกตามใจหมอ” ระบุว่า ที่ผ่านมา มีมายาคติหลายประการซึ่งเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าที่อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และเป็นโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีโทษน้อยกว่าบุหรี่จริง สูบแล้วไม่ติด สูบแล้วปลอดภัยกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งสูบแล้วจะช่วยให้เลิกบุหรี่มวนได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงเลย และมากกว่านั้นคือบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากกว่าบุหรี่มวนด้วยซ้ำ
ทั้งที่ความจริงแล้วปริมาณของสารเสพติดอย่างนิโคตินของบุหรี่ไฟฟ้าเมื่อสูบรอบหนึ่งจะได้รับปริมาณที่เยอะกว่าบุหรี่จริงมากๆแม้จะไม่เกิดการเผาไหม้แต่ก็มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดควันและมีสารเคมีอีกมากมายที่เป็นอันตรายกับปอด เช่น โพรพิลีนไกลคอล กรีเซอรีน รวมถึงสารแต่งกลิ่นต่างๆสารเหล่านี้เมื่อถูกความร้อนจากคอยล์ที่มากกว่า 300 องศา จะเกิดละอองสารเคมีขนาดเล็กกว่า PM 2.5 โดยมีการเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่มีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าพบว่าปริมาณของ PM 2.5 พุ่งสูงเป็นหลักพัน
สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ทั้งที่เป็นอันตราย แต่เด็กเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อายุที่เริ่มสูบก็เร็วขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้เกิดอันตรายกับปอดถึงขั้นเสียชีวิตได้ แม้จะสูบเพียงปีสองปีก็ตาม ดังที่ปรากฎเป็นข่าวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีรายงานเคสเด็กวัยรุ่นสูบบุหรี่ไฟฟ้าและปอดอักเสบรุนแรง ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ นอกจากนี้ นิโคตินยังมีผลกับสมองด้วย ทำให้สมองที่ควรจะมีโอกาสได้พัฒนาเต็มที่ กลับพัฒนาได้ไม่เต็มที่ สมาธิลดลง ผลการเรียนแย่ลง ความยับยั้งชั่งใจลดลง
“คำถามที่สำคัญคือทำไมคนเราถึงใช้สิ่งเสพติด ทำไมคนเราถึงใช้บุหรี่ มีเหตุผลหลายข้อที่ผมเก็บข้อมูลมา คุณพ่อคุณแม่ คุณครูฟังแล้ว อาจจะเข้าใจมากขึ้น หนึ่ง ประโยคง่าย ๆ เลยของวัยรุ่น คือ อยากลอง จากข้อมูลบอกว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของคนที่เริ่มสูบบุหรี่จะบอกว่า อยากลอง สอง ตามเพื่อน เห็นเพื่อนสูบ จึงสูบตาม ตามคุณพ่อหรือคุณแม่ ถ้าที่บ้านสูบบุหรี่ให้ลูกเห็นจนกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย ก็เลยคิดว่ามันน่าจะทำได้ สาม การเข้าสังคม คือไปที่โรงเรียน สมมติว่าเพื่อนสูบหมดเลย เราไม่สูบอยู่คนเดียว บางทีมันเกิดความกดดันจากเพื่อนถึงเพื่อน เดี๋ยวไม่เข้าพวก ถ้าภูมิคุ้มกันในจิตใจไม่เพียงพอ เราก็ไขว้เขวได้ ห้า อันนี้สำคัญมาก ๆ คือ ปัญหาเรื่องของจิตใจและอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า มีปัญหาชีวิต เลิกกับแฟน หรือเป็นกลุ่มโรคบางโรค เช่น โรคซึมเศร้า โรคสมาธิสั้น พวกนี้ก็จะมีความเสี่ยงที่จะใช้สารเสพติดมากขึ้น”
ผศ.นพ.วรวุฒิ สรุปเหตุผลของการเข้าสู่วงจรของการเสพติดว่ามีอยู่สามอย่างด้วยกัน ได้แก่ ไบโอ , ไซโค และ โซเชียล โดยไบโอคือส่วนของร่างกายซึ่งบางคนมีพันธุกรรมที่มีโอกาสเสพติดมากกว่าคนอื่น เช่น ทดลองสูบครั้งเดียวแล้วติดเลย ดังนั้น การไม่ลองสูบจะดีที่สุด สอง ไซโค คือสภาวะจิตใจ หรือโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสมอง และสุดท้ายก็คือโซเชียล สังคมที่อยู่แวดล้อมรอบตัว สูบตามเพื่อน ตามพ่อตามแม่
“สิ่งสำคัญคือ สารเสพติดพวกนี้ทำไมเสพแล้วถึงติดล่ะ ก็เพราะมันทำให้เกิดการหลั่งของสารเคมีในสมองที่ทำให้เรารู้สึกดีที่เรียกว่า โดพามีน เมื่อโดพามีนหลั่งปุ๊บ จะทำให้ร่างกายรู้สึกดี และทำให้เกิดความลักลั่นในจิตใจหรือความรู้สึกว่า มีคนบอกว่ามันอันตรายไม่ใช่เหรอ แต่เราลองใช้แล้ว ก็ไม่เห็นเป็นอะไร แถมรู้สึกดีเสียด้วย จึงทำให้เกิดการใช้ซ้ำแบบไม่คำนึงถึงอันตราย เมื่อใช้ซ้ำ ก็เริ่มติด ขั้นตอนสำหรับการติดคือ เด็กคนหนึ่งจะเริ่มจากการลองใช้ เมื่อใช้แล้วรู้สึกว่าไม่เห็นเป็นอะไร ทำให้ความรู้ที่เรียนมาว่ามันอันตราย ถูกลดทอนลงไป เมื่อลองใช้ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ใช้ซ้ำ ใช้เป็นประจำ เมื่อใช้เป็นประจำ ก็จะทำให้เกิดสิ่งที่ตามมาคือเสพติด และใช้จนเกิดปัญหา ปัญหาการเงิน ปัญหากับที่บ้าน ปัญหาสุขภาพ และปัญหาอื่น ๆ”
เมื่อเข้าใจแบบนี้แล้ว ผศ.นพ.วรวุฒิ แนะนำว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำก็คือ เข้าใจ และให้ความรู้ สอดส่องดูแล สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรทำก็คือ พูดคุยในเรื่องทั่วไปกับลูกให้ได้เป็นนิสัย เพราะเราจะพบว่า ตอนเด็ก ๆ ลูกจะสามารถคุยกับคุณพ่อคุณแม่ได้ทุกเรื่อง พอโตขึ้นหน่อย ลูกจะไม่ค่อยอยากคุยในบางเรื่อง และถ้าพ่อแม่ดุเกินไป ไม่สนใจ ไม่มีเวลาให้ หรือจ้องแต่จะสอน ตำหนิติเตียน เด็กจะเริ่มหยุดพูดเรื่องทั่วไปให้เราฟัง และเมื่อเด็กหยุดพูดเรื่องทั่วไปให้เราฟัง เวลาเขามีปัญหา เขาจะไม่บอกพ่อแม่ และพอถึงจุดหนึ่ง เครียด อยู่คนเดียว ก็เริ่มเปิดโอกาสที่จะไปใช้สารเสพติดมากขึ้น
“บางครั้ง เมื่อเราเข้าใจ เราเป็นทีมเดียวกับเขา เราช่วยแก้ไขปัญหาให้หมดไปได้ บางทีเขาอาจจะมีการหยุดใช้สารเสพติดได้ ในขณะเดียวกัน ให้ใช้การเลี้ยงลูกเชิงบวกเข้ามาเป็นเครื่องมือ เช่น ใช้คำว่า พ่อแม่เป็นห่วงนะที่หนูใช้ มันอันตรายนะ มันอาจจะทำให้หนูป่วยได้นะ เห็นใจ เป็นห่วง และเชื่อว่า ถ้าเขาเริ่มด้วยตัวเอง เขาก็จะเลิกได้ด้วยตัวเองเช่นกัน แต่มีเรา และอาจจะต้องพึ่งแพทย์ เป็นคนที่ช่วยเหลือในการเลิกการใช้”
คำถามสุดท้ายที่สำคัญคือ ท่ามกลางการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่รุกคืบเข้าไปในพื้นที่ของเด็กมากขึ้นทุกวันอย่างในปัจจุบัน จะมีแนวทางห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ผศ.นพ.วรวุฒิ ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า อันดับแรกต้องเริ่มต้นทำให้การคุยเรื่องสิ่งเสพติดเหล่านี้เหมือนเป็นเรื่องทั่วไปในบ้านเพื่อให้เกิดความรับรู้และตระหนักรู้
“ยกตัวอย่างที่บ้านของหมอเองนะเวลาเดินไปเห็นคนสูบบุหรี่ถือบุหรี่ไฟฟ้าอยู่สิ่งที่เราทำก็คือพูดกับลูกว่าเราไปทางอื่นดีกว่าลูกแถวนี้ควันเยอะเดี๋ยวเราจะไอเดี๋ยวเราจะป่วยง่ายเราบอกแบบนี้สร้างการตระหนักรู้แบบง่ายๆให้เด็กฟัง แต่เราก็รู้ดีว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ ถ้าเป็นคนรู้จักเราอาจจะเข้าไปบอกว่าเป็นห่วงนะเบาๆหน่อย หรือเลิกดีมั้ย แต่คนอื่นทั่วไปเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ แต่เราสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองได้ก่อนคือสร้างการตระหนักรู้ผ่านสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน
“นอกจากนั้นก็สอดส่องดูแลตลอดเวลา และถ้าพบว่าลูกใช้บุหรี่ไฟฟ้า อย่าเพิ่งตำหนิหนัก อย่าเพิ่งดุหนัก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการตำหนิหรือดุ เขาปิดประตูแล้ว แยกออกห่างจากเราแล้ว เริ่มสร้างอคติกับพ่อแม่แล้ว ทั้ง ๆ ที่เราหวังดี แต่ความหวังดีมาผิดวิธี เขาก็อาจจะไม่ฟังได้ และอย่าลืม พาไปทำกิจกรรมที่ทำให้นึกถึงสิ่งเหล่านี้น้อยลง เช่น เล่นกีฬา เข้าค่าย ไปดูหนังกับคุณพ่อคุณแม่ก็ได้ เป็นกิจกรรมที่ทำให้มีเวลาร่วมกันมากขึ้น เพราะสายสัมพันธ์อันดีย่อมเป็นเกราะป้องกันอบายมุขได้เป็นอย่างดี” คุณหมอเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “เลี้ยงลูกตามใจหมอ” ให้ข้อแนะนำซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการป้องกันเด็ก ๆ จากสิ่งเสพติดอย่างบุหรี่ไฟฟ้า
ท่ามกลางการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าและการส่งต่อข้อมูลอันเป็นความเชื่อผิดๆก็ยังมีหน่วยงานหลายภาคส่วนร่วมมือกันในการกระชากหน้ากากเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าให้ทุกคนได้รับรู้ขณะที่นิทรรศการมีชีวิต FAKE OR FRESH? ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่นอกจากจะให้ความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงยังกระตุ้นให้เกิดการฉุกคิดว่าชีวิตสามารถเลือกได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบุหรี่ไฟฟ้าหรือ Toy Pod ที่ลวดลายสีสันน่ารักและมีกลิ่นหอมแต่ซ่อนอันตรายไว้ภายในอย่างที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง