ไทยป่วยโรคหืดและ COPD รวม 4.2 ล้านคน ห่วง "บุหรี่ไฟฟ้า - PM2.5" ทำป่วยอาการกำเริบ เตือน "หลอดลมตีบน้อย" ไม่มีอาการ เสี่ยงหอบจนต้องแอดมิท เผยตั้งเครือข่ายคลินิก EACC ใน รพ.แล้ว 70% ช่วยตรวจปอด ลดกำเริบและนอน รพ.ลงได้ ตั้งเป้าแอดมิทเป็นศูนย์ ด้าน สปสช.หนุนปรับระบบเบิกจ่าย ให้เงินเพิ่มหากทำได้ดีกว่าค่ามาตรฐาน จัดสรรงบปีนี้ 51 ล้านบาท ส่วนปี 70 เพิ่มเป็น 200 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2568 ที่โรงแรมเอเชีย กทม. นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการเครือข่ายคลินิกโรคหืดและปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบง่าย (EACC) ครั้งที่ 20 ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัด และสหวิชาชีพจากโรงพยาบาลเครือข่าย EACC ทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 270 คน
นายกองตรี ดร.ธนกฤตกล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ สธ.มีนโยบายสำคัญกับการดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งโรคหืดและปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นกลุ่มโรคที่มีอัตราการตายสูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคหืด 4 ล้านคน และ COPD 192,624 คน หรือรวมกว่า 4.2 ล้านคน ด้วยตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงอนุมัติงบประมาณปี 2569 เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 43 เพื่อสนับสนุนการดูแลควบคุมป้องกันรักษาโรคหืดและ COPD สะท้อนความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ทั้งนี้ สธ.ได้ดำเนินงานพัฒนาระบบสุขภาพ Service Plan มุ่งแก้ปัญหาสุขภาพให้สอดรับกับความต้องการของประชาชน และผลักดันการพัฒนาคลินิก EACC คุณภาพให้ขยายครอบคลุมทั่วประเทศ โดยบูรณาการทีมสหสาขาวิชาชีพให้ผู้ป่วยเข้าถึงการดูแลเฉพาะทางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยลดภาระงานของแพทย์ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เสริมความเข้มแข็งยั่งยืนระบบสาธารณสุขไทยในระยะยาว ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะช่วยขับเคลื่อนการดูแลผู้ป่วยโรคหืดและ COPD ให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ ทุกลมหายใจสู่เป้าหมายตายเท่ากับศูนย์
นพ.ปิยะ ศิริลักษณ์ ผู้ตรวจราชการ สธ.เขตสุขภาพที่ 11 กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์โรคหืดและ COPD ยังมีความท้าทายต่อระบบสาธารณสุขไทย มีผู้ป่วยยังเข้าไม่ถึงกระบวนการคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม อาจมีอาการกำเริบเฉียบพลันบ่อยครั้ง ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล คุณภาพชีวิตลดลง รวมถึงสถานกาณ์สิ่งแวดล้อมทั้งการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังเพิ่มขึ้น อาจทำให้การดำเนินโรคของผู้ป่วยแย่ลง สธ.จึงสนับสนุนการพัฒนา "คลินิกคุณภาพ" ผ่านกลไก Service Plan เพื่อดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและครบวงจร โดยส่งเสริมการจัดแนวทางคุณภาพคลินิกในโรงพยาบาลทุกระดับ เพื่อลดอัตราการกำเริบของโรค ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป้น ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพเท่าเทียมไม่ว่าอยู่ส่วนใดของประเทศ
"ด้วยความร่วมมือกับ สปสช. และเครือข่ายบริการทุกระดับ ปีที่ผ่านมาสามารถขับเคลื่อนการจัดตั้งคลินิก EACC ในโรงพยาบาลทั่วประเทศมากกว่า 70% ซึ่งเกิดเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 60% โดยเน้นให้ผู้ป่วยได้รับการประเมินสมรรถภาพปอดด้วย Peak Flow Meter ทุกราย ติดตามสภาวะโรคเพื่อดูแลให้ดีที่สุด เพื่อลดอัตราสูญเสียจากโรคให้เหลือศูนย์" นพ.ปิยะกล่าว
รศ.นพ.วัชรา บุญสวัสดิ์ ประธานเครือข่ายคลินิกโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบง่าย กล่าวว่า ตลอด 20 ปีของเครือข่าย EACC สามารถลดอัตราการกำเริบและการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยหืดได้เกือบ 90% สะท้อนถึงความร่วมมือบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ในการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยให้เข้าถึงง่าย การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะมาร่วมกันทบทวนบทเรียนและสานต่อความสำเร็จ ยกระดับการดูแลผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการสนับสนุนจาก สธ.และ สปสช.ถือเป็นหัวใจสำคัญขับเคลื่อนเครือข่าย EACC รวมถึงการที่รัฐบาลและ สปสช.ให้ความสำคัญจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลผู้ป่วย และยกระดับด้วยการเบิกจ่ายแบบ Value-Based Healthcare ก็จะนำมาประโยชน์มาสู่ผู้ป่วย ทั้งนี้ ภายในงานจะมีการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ ในการดูแลผู้ป่วยโรคหืดและ COPD ให้คลินิกคุณภาพมีความเข้มแข็ง ตอบสนองความต้องการผู้ป่วย ขับเคลื่อนนโยบายประเทศสู่เป้าหมาย ลดการอนอนโรงพยาบาลเป็นศูนย์
ถามถึงกรณีสถานการณ์ "บุหรี่ไฟฟ้า" และฝุ่น PM 2.5 ทำให้มีผู้ป่วยโรคหืดและ COPD กำเริบเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ รศ.นพ.วัชรากล่าวว่า มลพิษ PM 2.5 บุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อได้รับไปนานๆ จะทำให้เกิดโรคได้ และคนเป็นโรคนี้อยู่แล้วก็จะอาการกำเริบเข้าโรงพยาบาล สถานการณ์ตอนนี้ประเทศไทย ผู้ป่วย COPD ประมาณ 100 คน มีอาการกำเริบ 200 ครั้งต่อปี หมายถึง 1 คนกำเริบ 2 ครั้ง ถือว่าเยอะมาก
"จริงๆ แล้วปัจจัยควันบุหรี่ต่างๆ เป็นปัจจัยให้อาการกำเริบได้ แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก สิ่งสำคัญคือ การไม่ได้รับการรักษาที่ดี ทำให้แค่อากาศเปลี่ยน เจอฝุ่นก็อาการกำเริบได้ ปัจจัยเสี่ยงเป็นตัวกระตุ้น แต่หากรักษาให้ควบคุมอาการได้ พอฝุ่นมาก็จะไม่ระคาย ทุกวันนี้การลด PM ยังทำไม่ได้ แต่ที่ทำได้แน่ๆ คือการรักษาให้ดี ให้ควบคุมอาการได้และให้อาการของโรคสงบลง (Remission)" รศ.นพ.วัชรากล่าว
รศ.นพ.วัชรากล่าวว่า ส่วนการควบคุมดูแลไม่ให้อาการกำเริบนั้น ทำเหมือนโรคเรื้อรังทั่วไป คือ ต้อง Early Detection หรือตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น จากนั้นรักษาให้มีคุณภาพเท่านั้น แต่ปัญหาคือ 1.คนไข้ทั่วไปมักดูว่าแค่มีอาการไอ หอบ ซึ่งไม่ถูกต้อง จริงๆ ต้องมีการประเมินว่าหลอดลมตีบหรือไม่ตีบ ต้องสื่อสารให้เข้าใจว่าการไม่มีอาการไม่พอ เพราะหลอดลมตีบไม่มากก็จะไม่มีอาการ กลายเป็นว่าไม่ได้ตรวจ ไม่มีอาการก็อยู่ดี แต่พอฝุ่นมาก็มีอาการหรือเป็นหวัดเล็กน้อยแต่หอบจนต้องเข้าโรงพยาบาล ถ้าได้รับการรักษาก็จะมียาควบคุมที่จะให้จน Remission หรือค่อยๆ หยุดยา ซึ่งต้องรักษายาวต่อเนื่อง โดยสามารถมาคลินิกเพื่อตรวจสมรรถภาพปอดตามนัดประมาณ 6 เดือนครั้งหรือปีละครั้ง
และ 2.คนไข้ไม่รู้จะไปตรวจอย่างไร เพราะไม่มีเครื่องตรวจสมรรถภาพปอดอย่างแพร่หลาย เมื่อก่อนจะต้องเป็นคลินิกพิเศษในโรงพยาบาลใหญ่ เช่น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลศูนย์ คนจึงเข้าไม่ถึง แต่ขณะนี้มีการขยายคลินิก EACC เป็นคลินิกคุณภาพแบบง่ายๆ อาศัยคำถามในการคัดกรองร่วมกับตรวจสมรรถภาพปอดแบบง่าย ด้วยเครื่องมือ Peak Flow Meter ประมาณ 900 บาท จึงทำคลินิกได้ทุกที่และง่าย แม้แต่ รพ.สต.หรือ อสม. จะทำให้คนไข้รู้ว่าเป็นมากหรือไม่ ซึ่งโรคสามารถรักษาได้แต่เนิ่นๆ ก็จะไม่ดำเนินไปต่อจนเป็นมากที่ทำให้รักษายาก
"อดีตที่ผ่านมาจะไม่มีการตรวจวัดปอด พอมาโรงพยาบาลหากไม่หอบก็ไม่ต้องใช้ยา หากมีอาการหอบก็เพิ่มยา ซึ่งไม่เหมือนเบาหวานที่มีการเจาะเลือดตรวจน้ำตาล อย่างไรก็ตาม ปัจจับุนคลินิก EACC เราเน้นว่าต้องมีเครื่องวัดง่ายๆ ด้วยการเป่าลม ก็จะทำให้คนไข้และบุคลากรรู้ตัว ก็จะรักษาได้ดีขึ้น เมื่อสมรรถภาพปอดดี พอฝุ่น PM มารับมือได้" รศ.นพ.วัชรากล่าว
ถามถึงผลลัพธ์ของคลินิก EACC ช่วยลดการแอดมิทเข้า รพ.ได้มากน้อยแค่ไหน รศ.นพ.วัชรากล่าวว่า อย่างโรคหืดลดการแอดมิทได้ 25% คือ จาก 6.5 หมื่นราย เหลือ 5 หมื่นราย หรือลดได้ 1.5 หมื่นรายต่อปี ส่วนอาการกำเริบลดได้แต่ยังไม่ได้มีการเก็บข้อมูล คาดว่าต้องคูณ 10 หรือลดได้เป็นหลักแสนและยังช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นจำนวนมาก ซึ่งตรงนี้มาจากแค่คนไข้ 30% ที่เข้าคลินิก ถ้าคนไข้เข้าคลินิกทั้ง 100% ก็น่าจะลดแอดมิทลงได้ 50-80%
ถามต่อว่าจะขยายคลินิก EACC คุณภาพไปถึง รพ.สต.อย่างไร รศ.นพ.วัชรากล่าวว่า เราทำมาคลินก 20 ปี ได้รับการสนับสนุนเป็นระยะ ปีนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สธ.เป็นพิเศษที่ให้โล่ให้รางวัลหน่วยที่ทำได้ดี เป็นเรื่องของกำลังใจ และการได้รับเงินชดเชยเพิ่มเติมจาก สปสช.ที่จะให้โรงพยาบาลที่มีผลลัพธ์ที่ดีแบบ Add On ดังนั้น ไม่ใช่ว่ารักษาดีทำได้ดีแล้วจะเจ๊ง แต่ได้รับเงินเพิ่ม ส่วนการขยายไป รพ.สต. มีประเด็นเดียวคือ รพ.สต.บอกว่า Workload เยอะ จะให้รักษาโรคนี้อีกก็จะบ่น จึงต้องคุย สปสช.ว่าต้องมีวิธีสนับสนุน เช่น การเพิ่มเงิน เป็นต้น ซึ่งก็มีการหารือกันอยู่
ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลัประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บรรยายพิเศษเรื่อง ระบบบริการและกลไกการจ่ายแบบเน้นคุณค่า : ยกระดับการดูแลโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง พร้อมการจัดสรรงบประมาณอย่างยั่งยืน ว่า ที่ผ่านมา สปสช.ใช้กลไกการเงินเพื่อสนับสนุนหน่วยบริการจัดตั้งคลินิก EACC มาตั้งแต่ปี 2553-2554 โดยตั้งงบประมาณให้ 3 หมื่นบาทต่อแห่ง พร้อมจัดประชุมการเรียนรู้ให้ดำเนินงานได้อย่างมีคุณภาพ จากนั้นจึงมีการปรับการจ่ายเป็นแบบ Fee Schedule เพื่อให้เกิดการจูงใจ ก่อนเข้าสู่การเบิกจ่ายตามระบบปกติของงบประมาณ อย่างไรก็ตาม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการดูแลผู้ป่วยโรคหืดและปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบยั่งยืน และนำไปสู่การลดการนอนโรงพยาบาลให้เป็นศูนย์ (Zero Admission) รวมถึงขับเคลื่อนให้มีคลินิกขยายไปถึง รพ.สต.แม้อนาคตจะถ่ายโอนไปอยู่กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก็จะปรับเพิ่มวิธีการจ่ายเงินโดยการใช้แผนการจ่ายแบบคุ้มค่า (Value-Based Healthcare)
ภก.คณิตศักดิ์กล่าวว่า สปสช.ได้เสนอในคณะกรรมการ 7x7 ระหว่าง สธ.และ สปสช. ถึงแผนการจ่ายแบบเน้นคุณค่า สำหรับโรคหืดและปอดอุดกั้นเรื้อรังในระยะเวลา 3 ปี โดยปี 2568 อนุมัติงบประมาณ 51 ล้านบาท ปี 2569 เพิ่มเป็น 61 ล้านบาท และปี 2570 เป็น 200 ล้านบาท เบื้องต้น สปสช.จัดทำประกาศแล้วอยู่ระหว่างรอการลงนามโดยเลขาธิการ สปสช. ซึ่งการจ่ายแบบเน้นคุณค่าจะดูจากผลงานของแต่ละหน่วยบริการว่า หากสามารถลดการนอนโรงพยาบาลได้ต่ำกว่าค่ามาตรฐานก็จะได้รับเงินเพิ่มมีทั้งระดับคูณ 1 และคูณ 2 ตามค่าที่กำหนด โดยคาดหวังว่าจะช่วยให้หน่วยบริการจัดบริการให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างมีคุณภาพ ได้รับการวินิจฉัยถูกต้องและสั่งใช้ยาตามมาตรฐาน ลดอาการกำเริบที่ต้องไปห้องฉุกเฉินและการนอนโรงพยาบาลได้