นักวิชาการแนะรัฐบาล ภาษีบุหรี่หลายอัตรา ไม่แก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน อาจไม่เพิ่มรายได้ภาษี ซ้ำเพิ่มนักสูบหน้าใหม่ ผิดหลักวิชาการภาษียาสูบที่ดีต่อประเทศ สวนทางคำแนะนำ Who แนะไทยจัดเก็บภาษีอัตราเดียว 40% และภาษีปริมาณ 1.2 บาท/มวน เพื่อลดนักสูบ
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2568 รศ.ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากที่มีข่าวว่ากรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ เนื่องจากอัตราภาษียาสูบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นเกือบ 4 ปีแล้ว ที่ผ่านมาพบว่ารายได้จากภาษียาสูบที่รัฐบาลเก็บได้มีแนวโน้มลดลงจาก 64,200 ล้านบาท ในปี 2564 เหลือ 51,248 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี หากย้อนไปดูการปรับอัตราภาษียาสูบของไทย พบว่าเริ่มมีปัญหาตั้งแต่มีการเปลี่ยนโครงสร้างภาษีจากอัตราเดียวเป็นแบบสองอัตรา (2-tier) เมื่อปี 2560 ซึ่งก่อนหน้านี้รายได้ภาษียาสูบของไทยเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจาก 13,636 ล้านบาท ในปี 2533 เพิ่มเป็น 68,603 บาท ในปี 2560 ในช่วงเวลาเดียวกัน อัตราการสูบบุหรี่ของประชากรไทยก็ลดลงจากร้อยละ 32 เหลือร้อยละ 19.1
“หลังจากปี 2560 เปลี่ยนการจัดเก็บภาษีมาเป็นแบบสองอัตรา อัตราการสูบบุหรี่ไม่ลดลงอย่างที่ควรจะเป็น และไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ก่อนหน้านี้ทั้ง 4 ข้อ คือ 1. รายได้รัฐต้องไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท 2. ลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ 3. ไม่กระทบรายได้ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) และเกษตรกร 4. ลดปัญหาบุหรี่หนีภาษี” รศ.ดร.พญ.เริงฤดี กล่าว
รศ.ดร.พญ.เริงฤดี กล่าวต่อว่า เมื่อปี 2561-2562 องค์การอนามัยโลกเคยวิเคราะห์ข้อมูลภาษียาสูบของไทย และเสนอต่อกรมสรรพสามิตว่า ไทยควรปรับอัตราภาษีเป็นแบบอัตราเดียวที่ร้อยละ 40 และภาษีปริมาณที่ 1.2 บาทต่อมวน โดยระบุอีกว่า ภาษีแบบหลายอัตราไม่ช่วยให้ยสท. มีรายได้ดีขึ้น แต่ตรงกันข้ามจะช่วยบริษัทบุหรี่ต่างชาติเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และองค์การอนามัยโลกย้ำว่า ภาษีแบบหลายอัตราจะส่งผลเสียหลายด้าน เช่น จะทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ที่ราคาถูกกว่าแทนที่จะเลิกสูบ รัฐสูญเสียรายได้ และทำให้มีการแทรกแซงจากบริษัทบุหรี่เพื่อให้คงอัตราภาษีราคาถูกให้อยู่ในระดับต่ำ
“ฝากถึงรัฐบาลในการพิจารณาภาษียาสูบครั้งนี้ ให้ยึดหลักพื้นฐานว่า ต้องทำให้ราคาบุหรี่สูงขึ้นเพื่อลดการบริโภคยาสูบ โดยเฉพาะนักสูบหน้าใหม่ที่มักจะเริ่มจากบุหรี่ราคาถูก โดยไม่ควรขยายอัตราภาษีมากกว่าสองอัตรา หากยังไม่สามารถปรับเป็นแบบอัตราเดียวตามที่องค์การอนามัยโลกเสนอได้ ควรจะเพิ่มอัตราภาษีโดยเฉพาะภาษีปริมาณของทุกอัตรา ส่วนเรื่องบุหรี่เถื่อน ที่บริษัทบุหรี่มักนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ให้รัฐบาลขึ้นภาษียาสูบนั้น องค์การอนามัยโลกยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นภาษียาสูบ แต่เป็นเรื่องของการขาดธรรมาภิบาลและปัญหาการบริหารภาษี การไม่ขึ้นภาษีไม่ช่วยแก้ปัญหา และแนะนำให้ไทยดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบในเรื่องพิธีสารขจัดยาสูบที่ผิดกฎหมาย ที่ปัจจุบันมีประเทศที่ลงสัตยาบันเพื่อดำเนินการขจัดยาสูบที่ผิดกฎหมายแล้ว 70 ประเทศ” รศ.ดร.พญ.เริงฤดี กล่าว
ด้าน ศ.พน.ประกิต วาทีสาธกกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ กล่าวว่า ยสท. เสนอปรับแก้การอัตราภาษีบุหรี่จากปัจจุบันจัดเก็บ 2 อัตรา เป็น 3 อัตรานั้น เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นการก้าวถอยหลัง สวนทางกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ทยอยปรับอัตราภาษีให้เหลืออัตราเดียว ตามข้อแนะนำที่กำหนดอยู่ใน มาตรา 6 อนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก การที่ ยสท. เสนอให้ปรับอัตราภาษีเป็น 3 อัตรา เพื่อให้อัตราล่างต่ำลงจะทำให้ราคาขายของบุหรี่ ไม่แตกต่างจากราคาบุหรี่หนีภาษีมากเกินไป ประเด็นนี้จะเปิดโอกาสให้บุหรี่ต่างประเทศนำเข้าบุหรี่ราคาถูก เพื่อมาแข่งขันกับบุหรี่ของ ยสท. เช่นเดียวกับที่เคยปรับจากหนึ่งอัตราเป็นสองอัตราเมื่อปี 2560 ที่ทำให้ยสท. เสียส่วนแบ่งตลาดไปมาก ขณะที่รายได้จากภาษีก็ลดลงอย่างมากด้วย ที่
“ผมขอย้ำการแก้ปัญหาบุหรี่หนีภาษี ต้องแก้ด้วยการปรับปรุงระบบการควบคุมบุหรี่หนีภาษี ไม่ใช่แก้ด้วยการลดระดับภาษี หรือแก้ให้มีภาษีหลายอัตราอย่างที่ยสท. เสนอ เพราะราคาบุหรี่ที่ถูกลงจะทำให้คนสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น สุดท้ายจะเพิ่มภาระงบประมาณในการรักษาคนที่ป่วยจากการสูบบุหรี่ ซึ่งเราจะแบกรับไม่ไหวอยู่แล้ว” ศ.นพ ประกิต กล่าว