ประชุมวิชาการประจำปี HA National Forum ครั้งที่ 25 เจาะลึกแนวทางสร้างอนาคต "ระบบสุขภาพไทย" ให้ยั่งยืนเป็นธรรม ใช้ข้อมูลร่วมงานวิจัยขับเคลื่อนนโยบายเพื่อประชาชน
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ที่อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ภายในการประชุมวิชาการประจำปี HA National Forum ครั้งที่ 25 ของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. มีการเสวนาในหัวข้อ "อนาคตระบบบริการสุขภาพสุขภาพที่ยั่งยืน (The Future Sustainability in Thailand Healthcare System)" โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ความรู้ และนำเสนอแนวทางการสร้างระบบบริการสุขภาพไทยในอนาคตให้ยั่งยืนและเป็นธรรม
นพ.พงษ์ศักดิ์ นิติการุญ ผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) กล่าวว่า ตามแนวทางของ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อนาคตของระบบสาธารณสุขไทยจะต้องเป็นระบบสาธารณสุขที่พึงปรารถนา คือ คนไทยมีสุขภาพกาย สุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี มีกำลังคนด้านสาธารณสุขที่มีคุณภาพดีและเพียงพอ พัฒนาด้านบริการ วิชาการ และงานวิจัย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ แนวทางการขับเคลื่อนสำคัญคือ 1.สร้างความเข้มแข็งระบบสุขภาพเป็นระบบบริการเชิงรุก 2.เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ เช่น การแพทย์ทางไกล เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพด้วยบัตรประชาชนใบเดียว มีระบบส่งต่อแบบไร้รอยต่อ 3.ยกระดับบริการที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ พัฒนาสู่โรงพยาบาลดิจิทัล 4.บริการสุขภาพแบบมีส่วนร่วมทั้งผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน และ 5.เศรษฐกิจสุขภาพเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพ
"สิ่งสำคัญคือต้องสร้างสมดุลระหว่างคุณภาพ การเข้าถึงบริการ และราคา โดยทำให้ระบบบริการสุขภาพมีประสิทธิภาพ ประชาชนเข้าถึงบริการตามความต้องการ เกิดบริการที่ดี ความเท่าเทียม ลดอัตราตาย ลดความแออัดและระยะเวลารอคอย ประเทศก็จะมีระบบสุขภาพที่ดี" นพ.พงษ์ศักดิ์กล่าว
ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ หรือสช. กล่าวว่า นโยบายสาธารณะที่ดี มีผลต่อการสร้างความเป็นธรรมให้ระบบสุขภาพ ที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนทำนโยบายร่วมกับภาควิชาการ เชื่อมโยงภาครัฐ ผ่านสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ และยังมี "ธรรมนูญสุขภาพ" ที่กำหนดเรื่องระบบสุขภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน โดยมี 12 หมวดที่ต้องมาทำร่วมกัน คือ ระบบฐานข้อมูล กำลังคนด้านสุขภาพ การเงินการคลังด้านสุขภาพ สุขภาพจิต สุขภาพทางปัญญา สุขภาพชุมชนเมือง การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านสุขภาพ การส่งเสริมสนับสนุนการใช้และพัฒนาภูมิปํญญา การบริหารสาธารณสุขและควบคุมคุณภาพ การป้องกันควบคุมโรคและปัจจัยคุกคามสุขภาพ และการสร้างเสริมสุขภาพ
ขณะที่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงสิ่งที่ทำให้ระบบบริการสุขภาพไม่ยั่งยืนในส่วนของรัฐบาล/กองทุน คือ งบประมาณไม่เพียงพอ ลงทุนในเทคโนโลยีราคาแพง ไม่ส่งเสริมการป้องกันโรค โดยมี 4 สัญญาณเตือนของความไม่ยั่งยืน คือ 1.การมีเรื่องร้องเรียน 2.ความปลอดภัยของผู้ป่วย 3.การเกิด Low Values Care หรือบริการสุขภาพที่มีหลักฐานว่าไม่มีประโยชน์หรือมีประโยชน์น้อยมากต่อผู้ป่วย มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายหรือใช้ทรัพยากรโดยไม่จำเป็น คือ ใช้ไม่เหมาะสมกับข้อบ่งชี้ทางคลินิก ไม่เหมาะสมกับกลุ่มประชากร ให้บริการเกินจำเป็น บริการที่ซับซ้อนหรือแพงกว่ากรณีมีทางเลือกที่มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน และ 4.บุคลากรลาออกจากระบบ
"เรื่องเงินไม่ใช่คำตอบของความยั่งยืน แต่เป็นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยที่ประชาชนคาดหวัง โดยทิศทางที่จะทำให้ยั่งยืนในส่วนของระบบหลักประกันสุขภาพ คือ ต้องทำให้เกิดการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ สร้างเศรษฐกิจ และสนับสนุนเทคโนโลยีที่เหมาะสม ด้านประชาชนต้องเกิดการดูแลตัวเอง สามารถเข้าถึงบริการได้ง่าย มีความพึงพอใจ มีสุขภาพดี ขณะที่หน่วยบริการต้องสร้าง Value Based Healthcare เน้นส่งเสริมและป้องกัน มีงบประมาณเพียงพอ และเจ้าหน้าที่มีความสุข" นพ.จเด็จกล่าว
ด้าน นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เราอยู่ในยุคที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เกิดจากพฤติกรรมตัวเอง เช่น กินหวานมันเค็ม ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน อีกส่วนคือ "สังคม" และการสร้างเศรษฐกิจ เช่น เหล้าบุหรี่ที่กระตุ้นคนบริโภคมากๆ ได้เงินมากขึ้น แต่ก็ป่วยมากขึ้น ยุทธศาสตร์ในการรับมือคือ ใช้ "ข้อมูล" มาขับเคลื่อนการทำงาน เพื่อสู้กับพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงทางสังคม
"เราพยายามชวนเลิกเหล้าบุหรี่จะได้สุขภาพดี แต่คนไม่เชื่อ หากเราใช้ข้อมูลสุขภาพของแต่ละจังหวัดมาพูดคุย ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกและอยากมีส่วนร่วมแก้ปัญหา เช่น จังหวัดไหนอำเภอไหนตายจากเบาหวานสูงสุด มีอัตราตายของหลอดเลือดสมองสูงสุด หรืออย่างการลดดื่มเหล้าลง 24% จะช่วยลดการตายจากตับแข็งลง 10% เป็นต้น ที่สำคัญคือ บุคลากรทางการแพทย์ต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ ปลุกระดมชุมชนให้ความสำคัญจัดการปัญหาสุขภาพตนเอง และใช้เงินกองทุนสุขภาพตำบลมาขับเคลื่อนแก้ปัญหา หากสามารถขับเคลื่อนสังคมมาร่วมสร้างเสริมสุขภาพ จะทำให้คนไม่ตายก่อนวัยอันควร จะเป็นจุดสำคัญของความยั่งยืนระบบบริการสุขภาพของไทย" นพ.พงศ์เทพกล่าว
ส่วน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า นโยบายสาธารณสุข การบรรจุสิทธิประโยชน์ หรือการสร้างสรรค์นวัตกรรมการรักษาพยาบาลต่างๆ ล้วนมาจากงานวิจัยทั้งสิ้น ที่ผ่านมา สวรส.มีงานวิจัยที่ช่วยขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค แผ่นปิดกะโหลกที่สามารถขายและจดทะเบียนที่อเมริกา การตรวจปัสสาวะโดยไม่ต้องไปเจาะเลือด การรับยาที่ร้านยาใน 16 กลุ่มโรค รวมถึงจีโนมิกส์ไทยแลนด์ ในการตรวจพันธุกรรมคนไทย 5 หมื่นราย 5 กลุ่มโรค ที่จะทำให้เกิดองค์ความรู้ในระดับโลก
สิ่งที่ สวรส.จะเดินหน้าต่อ คือ การพัฒนาหน่วยงานวิจัย เพราะปัจจุบันมีเรามีหน่วยงานวิจัยมาตรฐานโลกเพียง 9 แห่ง ก็จะร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่สามารถทำวิจัยที่ได้มาตรฐานโลกเช่นกัน หรือการศึกษาเรื่องสิทธิประโยชน์ให้คนไทยเข้าถึงมีความคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งจะไม่ได้แค่ศึกษาในปัจจุบัน แต่ปรับไปสู่การประเมินศึกษาล่วงหน้า เช่น อะไรที่น่าจะคุ้มค่าในอีก 4 ปีข้างหน้า รวมถึงผลักดันนักวิจัยรุ่นใหม่ๆ ด้วย โดยเปิดงบ 10% ให้แก่ผู้ที่ไม่เคยทำงานวิจัยมาก่อน แต่จะต้องมีพี่เลี้ยง เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าของการลงทุนงานวิจัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะมาสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยที่จะมาช่วยหาทางออกหรือสร้างแนวทางในการทำให้ระบบบริการสุขภาพมีความยั่งยืนในอนาคตด้วยข้อมูลด้านวิชาการ
ด้านการแพทย์ฉุกเฉินฯ ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมา สพฉ.พัฒนารูปแบบการแพทย์ฉุกเฉินต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น ทางเรือ ทางอากาศ หรือรถมอเตอร์แลนซ์ที่เข้าถึงจุดเกิดเหตุในเมืองได้เร็วและง่ายขึ้น สิ่งที่จะเดินหน้าต่อเพื่อพัฒนาระบบ คือ พัฒนาให้เข้าถึงผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตใน 8 นาที ซึ่งปัจจุบันทำได้เพียง 30% โดยจะเพิ่มหน่วยแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น พัฒนาระบบโปรแกรมซอฟต์แวร์ให้ประชาชนเข้าถึงง่ายขึ้น มีซอฟต์แวร์ตัวใหม่คือ iDEMS ที่ผูกโยงกับ "หมอพร้อม" และ "ทางรัฐ" สามารถส่ง SMS เพื่อแชร์ส่งโลเคชัน วิดีโอคอลประเมินอาการทางโทรศัพท์ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ เดิมหน่วยปฐมพยาบาลจะห้ามเลือดและส่งโรงพยาบาลที่ใกล้สุด แต่ระบบใหม่นี้จะมีแพทย์อำนวยการระบบปฏิบัติการฉุกเฉิน สามารถทำ Teleconsult ให้คำปรึกษาทางไกล เสมือนยกเอาห้องฉุกเฉินออกไปจุดเกิดเหตุด้วย
ขณะที่ พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า ระบบบริการสุขภาพของไทยจะยั่งยืนได้ต้องเริ่มจากทุกคนและทุกหน่วยงานที่ต้องร่วมมือกันดำเนินการ ซึ่งไม่เพียงแต่ 6หน่วยงานดังกล่าว สรพ.ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งในระบบสาธารณสุข ที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากผลการวิจัยของ สวรส. เพื่อทำหน้าที่ในการประเมินและรับรองคุณภาพสถานพยาบาล ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้สถานพยาบาลและระบบบริการสุขภาพมีมาตรฐานนำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต