xs
xsm
sm
md
lg

มหาวิทยาลัยมหิดล พลิกโฉมการศึกษา วิจัย และบริการสุขภาพสู่ “Real World Impact” และเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวมระดับโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มหาวิทยาลัยมหิดลพลิกโฉมการศึกษาวิจัยและบริการสุขภาพสู่“Real World Impact”และเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวมระดับโลก  พร้อมเร่งปั้นโรงงานยาที่มีชีวิตยกระดับวงการแพทย์และผลักดันไทยสู่ศูนย์กลาง Cell & Gene Therapyแห่งภูมิภาค

• มหาวิทยาลัยมหิดล ประกาศทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่รับเมกะเทรนด์ เดินหน้าขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่การเป็น ศูนย์กลางองค์ความรู้และนวัตกรรมระดับโลกที่มุ่งสร้าง “Real World Impact” ในทุกมิติ

• ตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) และสุขภาวะองค์รวมระดับโลก ขับเคลื่อนผ่าน 3 กลไกหลัก ประกอบด้วย From Research Lab to Commercialization, From Education to Real World Impact และ From Community Engagement to Real World Impact

• เผยความรุดหน้าในการผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) ระดับอาเซียน พร้อมเสริมศักยภาพการแพทย์และสาธารณสุขไทยด้วย AI + Health Care และ ผลักดัน สตาร์ตอัปด้าน Health Tech ไทย สู่ระดับ Unicorn



ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับกระแสความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ใน 6 มิติ 1. สังคมสูงวัย (Aging Society) ในอีก 8 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super Aging) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและระบบการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมาก   2. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) ที่ขับเคลื่อนโดย AI และเทคโนโลยีดิจิทัล   3. ภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม   4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อความอยู่ดีมีสุขของคนทั่วโลก   5. การเปลี่ยนแบบแผนระหว่างช่วงชีวิต (Generation Change) การเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่หลากหลายมากขึ้น   6. การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร (Organization Change) ที่เน้นการทำงานแบบ Data-Driven และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายที่มหาวิทยาลัยมหิดลต้องรับมือและปรับตัวตามให้ทัน และต้องเร่ง “ทรานส์ฟอร์ม” สู่ยุคใหม่ในทุกมิติ

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตรกล่าวเพิ่มเติมว่าปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดลประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้าง Academic Impact โดยผลิตบัณฑิตคุณภาพมากกว่า 6,000 คนต่อปี ได้รับการจัดอันดับ THE Impact Ranking ติดอันดับ 1 ของไทยและด้าน SDG3: Good Health & Well-Being เป็นอันดับที่3ของโลกนอกจากนั้นได้รับการจัดอันดับ QS Rankingอันดับ 1 ในประเทศไทยใน 8 สาขาวิชาหลักด้านดนตรีอันดับที่ 28 ของโลกและอีกมากมายแต่มหาวิทยาลัยมหิดล ไม่ต้องการมุ่งสร้าง Academic Impact เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องการใช้ความรู้สร้าง “Real World Impact” ที่แท้จริงที่ช่วยแก้ปัญหา พัฒนาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าเดิม พร้อมมุ่งเป้าสู่การเป็น "World-Class University" และเป็นผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) และสุขภาวะแบบองค์รวม (Holistic Wellbeing)ในระดับโลกโดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนแบบองค์รวมทั้งในระดับประเทศและระดับโลกสอดคล้องตามเป้าหมาย SDGs ซึ่งในการมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว ดำเนินการโดยขับเคลื่อนผ่าน 3 กลไกหลักได้แก่

1.From Research Lab to Commercialization ผลักดันงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง สร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ผลักดันงานวิจัยไม่ให้อยู่แค่บนหิ้งแต่ส่งเสริมภาคเอกชนให้นำไปต่อยอดพัฒนาเป็นเทคโนโลยี นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่สร้างประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและทำให้งานวิจัยไทย “ขาย” และ “แข่งขัน” ได้ในเวทีโลก โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดลมีผลงานวิจัยที่ได้รับการจดสิทธิบัตรกว่า 2,557 รายการและผลงานที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในเชิงพาณิชย์กว่า 415 รายการมูลค่ากว่า 123.6 ล้านบาทโดยมีตัวอย่างการนำผลการวิจัยไปต่อยอดที่สำคัญ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูงด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) พร้อมสร้างโรงงานผลิตยาที่มีชีวิตเป็นศูนย์กลางการรักษาด้วยยีนบำบัดและเซลล์บำบัดแห่งแรกของประเทศไทยการพัฒนาวัคซีนและชีวเภสัชภัณฑ์เช่น วัคซีนมาลาเรียและไข้เลือดออก ที่ถูกนำไปใช้ในระดับสากล PharmTOP โรงงานยาที่ผลิตจากสมุนไพร


2.From Education to Real World Impact ทรานส์ฟอร์มการศึกษา สู่การเรียนรู้ไร้พรมแดน เน้นการศึกษาแบบ Outcome-Based Education สร้างบัณฑิตตอบโจทย์โลกยุคใหม่ให้เป็น World Citizenship ที่ไม่ใช่แค่มีความรู้ทางวิชาการ แต่ต้องพร้อมทำงานจริงสามารถทำงานร่วมกับเครือข่ายปรับตัวและเอาตัวรอดได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีทักษะแห่งอนาคต โดยพัฒนาหลักสูตรที่ยืดหยุ่น หลากหลายยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็น Hybrid Programs ที่ผสมหลักสูตรข้ามศาสตร์หลักสูตรระยะสั้น (Micro-Credentials) ที่เน้นการพัฒนาทักษะเฉพาะทางที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการ Upskill/Reskill การเรียนรู้แบบ Self-Paced Learningที่ผู้เรียนสามารถออกแบบและกำหนดระยะเวลาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเองได้ และที่สำคัญ คือ ไม่กําหนดอายุผู้เรียนส่งเสริม Lifelong Learning เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลทุกช่วงวัยสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิตผ่านแพลตฟอร์ม MU-ALL

นอกจากนี้ ยังมุ่ง Upskill บุคลากรด้านสาธารณสุขโดยเปิดหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาชุมชนสุขภาวะและความยั่งยืนเพื่อให้บุคลากรในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษา โดยมีโครงการนำร่องที่วิทยาเขตอำนาจเจริญเป็นแห่งแรกพร้อมพัฒนาหลักสูตรใหม่ GenEd Plus เพื่อเสริมสร้างทักษะในการเป็นพลเมืองโลกที่พร้อมปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาไร้พรมแดนโดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดหลักสูตรการเรียนการสอนและกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่างๆ

3.From Community Engagementto Real World Impact ลงมือทำเพื่อสังคมสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนขยายบทบาทจากสถาบันการศึกษาสู่ศูนย์กลางในการขับเคลื่อนสังคมสร้างผลกระทบที่จับต้องได้ร่วมขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะผ่านการจัดทำPolicy Labเช่นโครงการลดอุบัติเหตุทางถนนโดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นตำรวจจราจร กรมทางหลวง นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจราจรและภาคประชาชนเพื่อร่วมกันค้นหาต้นเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุแนวทางที่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยทดลองทำโครงการต้นแบบขึ้นในพื้นที่ศาลายา และจะขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ พร้อมผลักดันเชิงนโยบาย (Policy Advocacy) เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนของไทยอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีโครงการ “9 to Zero” หรือ “ก้าวสู่ศูนย์” โดยดำเนิน 9 มาตรการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ภายใน 9 ปี หรือ ภายใน พ.ศ.2573


สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคตศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตรกล่าวว่าจะมุ่งส่งเสริมและผลักดันใน3 ด้านหลัก สู่การพลิกโฉมวงการสาธารณสุขไทย ประกอบด้วย

1.ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) ระดับอาเซียนโดยมหาวิทยาลัยมหิดลจะเป็นผู้นำในการสร้าง Ecosystemที่สมบูรณ์ของการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยืนบำบัดในประเทศไทยตั้งแต่การส่งเสริมพัฒนางานวิจัยการพัฒนาบุคลากรการส่งเสริมการผลิตเชิงอุตสาหกรรมไปจนถึงการผลักดันนโยบายและความร่วมมือระดับนานาชาติควบคู่ไปพร้อมกับการเร่งปรับปรุงโรงงานยาที่มีอยู่เดิมให้เป็นโรงงานยาที่มีชีวิต (MU-Bio Plant) สำหรับผลิตยากลุ่มAdvanced Therapy Medicinal Product(ATMP) เพื่อรองรับการการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยีนบำบัดในประเทศไทยซึ่งนอกจากจะทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งและโรคร้ายแรงอื่นๆได้ในราคาที่ถูกลงอย่างมากแล้ว ยังจะส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเซลล์บำบัดและยีนบำบัดของภูมิภาคอาเซียนยกระดับมาตรฐานวงการแพทย์ไทยให้ทัดเทียมสากล

2.เสริมศักยภาพการแพทย์และสาธารณสุขไทยด้วย AI & Health Care นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการแพทย์และระบบสาธารณสุขโดยร่วมมือกับบริษัท สยาม เอไอ คลาวด์ คอร์เปอเรชั่น จำกัดซึ่งเป็น NVIDIA Cloud Partner (NPC) เพียงรายเดียวในประเทศไทยนำนวัตกรรมที่ทันสมัย และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อประโยชน์ด้านการแพทย์เช่นการวินิจฉัยโรคการคาดการณ์แนวโน้มของโรคการคาดการณ์ความเสี่ยงโรคเรื้อรังการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลและบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างสุขภาวะของประชาชน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความเชี่ยวชาด้าน AI และ Health Tech ให้สามารถใช้งานได้จริงตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างคณาจารย์ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อถ่ายทอดความรู้และทักษะทางเทคนิคร่วมกัน

3.สร้างStartup Ecosystem และ ผลักดัน Startup Health Tech ไทย ก้าวไกลสู่ระดับ Unicorn  ตั้งเป้าให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็น One Stop Service สำหรับส่งเสริมและพัฒนา Health Tech Startup และสร้าง Startup Ecosystem แบบครบวงจร โดยจัดตั้งโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัป (Health Tech Incubator & Accelerator) โดยร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เช่น Silicon Valley รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) เพื่อร่วมกันสนับสนุนและพัฒนาสตาร์ตอัปไทยในทุกมิติตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยีการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุน ไปจนถึงการขยายตลาดเพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยมี Unicorn Startup ในสาย Health Tech “มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นต้นแบบที่สะท้อนถึงความสำเร็จครอบคลุมหลายมิติจากหลายๆโครงการ ที่เริ่มจากงานวิจัยจนนำมาสู่การต่อยอดให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมตอกย้ำเป้าหมายการเป็น Mahidol University For Real World Impact ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัยและสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวมระดับโลกได้อย่างแท้จริง”ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตรกล่าวสรุป


กำลังโหลดความคิดเห็น