เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานวันโรคอ้วนโลก (World Obesity Day) ประจำปี 2568 ในธีม “สิ้นสุดทางอ้วน”
ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “การสร้างเสริมสุขภาพของบุคลากรเป็นหนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งในวัยทำงาน วิกฤตโรคอ้วนถือว่าเป็นสิ่งที่คณะฯ ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นสนับสนุนให้บุคลากรสามารถลดน้ำหนักและลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วนได้สำเร็จอย่างยั่งยืนโดยทีมผู้เชี่ยวชาญสหสาขาวิชาชีพ มีการปรับสิ่งแวดล้อมในองค์กรให้เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้างแรงจูงใจและการค้นหาแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสมกับบุคลากรแต่ละคน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มีความเชื่อมั่นและพร้อมเป็นแบบอย่างให้กับสังคมในการสร้างเสริมสุขภาพ และสร้างค่านิยมการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เพื่อร่วมหยุดยั้งวิกฤตโรคอ้วน พร้อมย้ำว่าสังคมสุขภาพดีสร้างได้ หากเราทุกคนร่วมมือกัน ทั้งนี้ ขอเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนร่วมรณรงค์การสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อยุติการเพิ่มขึ้นของวิกฤตโรคอ้วนไปด้วยกัน”
ศ. ดร.นพวรรณ เปียซื่อ รองคณบดีฝ่ายสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่าความชุกของโรคอ้วนในบุคลากรยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซี่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โรคอ้วนถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนด 9 เป้าหมายการรับมือสถานการณ์โรคไม่ติดต่อภายในปี 2568 เพื่อยับยั้งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรโลก หนึ่งในเป้าหมาย คือ ความชุกภาวะอ้วนจะต้องไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้บุคคลเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ (Non- Communicable Diseases: NCDs) การเร่งรณรงค์ให้เกิดความตระหนักถึงปัญหาจากโรคอ้วน ความรอบรู้ของบุคลากรและสร้างแรงจูงใจในการสร้างเสริมสุขภาพ จะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยยุติวิกฤตโรคอ้วนได้ดี”
ผศ. พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร ประธานคณะกรรมการป้องกันและจัดการโรคอ้วนแบบครบวงจร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “โรคอ้วน เป็นโรคเรื้อรังที่มีไขมันสะสมมากจนส่งผลต่อสุขภาพ ถือว่าเป็นภัยคุกคามทางสุขภาพ เพราะโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคอื่นๆตามมา อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันพอกตับ โรคมะเร็ง โรคถุงน้ำรังไข่ โรคเก๊าท์ หยุดหายใจขณะหลับ โรคซึมเศร้า เป็นต้น การลดน้ำหนักลงเพียงแค่ร้อยละ 5 ก็เป็นผลดีต่อสุขภาพ ทั้งช่วยป้องกันเบาหวาน ลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดไขมันพอกตับ ยิ่งลดได้มาก ยิ่งส่งผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น ในคนที่เป็นโรคอ้วนร่วมกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หากลดน้ำหนักได้มากกว่าร้อยละ 15 จากน้ำหนักตั้งต้น สามารถทำให้เบาหวานสงบได้ การลดปัจจัยเสี่ยงเรื่องโรคอ้วนเพียงเรื่องเดียว สามารถลดโรคแทรกซ้อนอื่นๆอีกมากมาย ถือว่าเป็นการลงทุนลงแรงที่คุ้มค่าต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง”
รศ. พญ.ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย (ฉันทวศินกุล) หัวหน้าสาขาวิชาโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “แนวทางการจัดการโรคอ้วนในปัจจุบันถึงแม้จะมียากิน ยาฉีดที่ช่วยในการลดน้ำหนัก หรือมีการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนที่ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทำควบคู่กันเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการลดน้ำหนักและป้องกันการกลับมาอ้วนซ้ำ คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้แบบแผนอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักนั้น ไม่ได้มีแบบแผนที่ตายตัว เน้นโปรตีนให้เพียงพอ มีผักทุกมื้อ ลดแป้งและน้ำตาล ไขมันแต่พอควร และควบคุมพลังงาน ขอให้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองและเป็นแนวทางที่ถามตัวเองแล้วว่าเราจะสามารถอยู่กับแบบแผนนี้ได้อย่างยั่งยืน”
รศ. นพ.ปรีดา สัมฤทธิ์ประดิษฐ์ อาจารย์สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตทางศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “การผ่าตัดรักษาโรคอ้วน เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการรักษาโรคอ้วนหากเข้าเกณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้แนวทางนี้ในการรักษาโรคอ้วน โดยยึดตามแนวทางเวชปฏิบัติในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนด้วยการผ่าตัดแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2564 ซึ่งจะมีการพิจารณาจากดัชนีมวลกายและโรคแทรกซ้อน โดยผู้ป่วยได้ผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและควบคุมการรักษาอย่างเต็มที่แต่ยังไม่ได้ผล เนื่องจากการผ่าตัดอาจเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารบางชนิด และยังมีโอกาสที่น้ำหนักสามารถกลับมาเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นหลังผ่าตัดมีความจำเป็นต้องรู้จักเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาสมดุลเมตาบอลิซึม และรักษามวลกล้ามเนื้อ พบหมออย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี และกินวิตามินแร่ธาตุเสริมตามที่แพทย์แนะนำ”
ผศ. ดร. นพ.พงศกร อธิกเศวตพฤทธิ์ อ. นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อ. พญ.สโรชา อิทธิอมรกุลชัย และ ภก.พงศธร เพียบเพียร บุคลากรที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก กล่าวเสริมว่า “การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน 3 สิ่งที่สำคัญที่เป็นปัจจัยความสำเร็จ คือ 1.การรักตัวเอง ทำให้ตัวเองเป็นเวอร์ชั่นที่ดี 2.แรงบันดาลใจและเป้าหมาย 3.แบบแผนการลดน้ำหนักที่เข้าได้กับวิถีชีวิตของตัวเอง และทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป”