ในโอกาสวันเด็กปี พศ. 2568 เครือข่ายต้านโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs ออกโรงกระตุ้นเตือนภัยโรคอ้วนในเด็กถึงจุดวิกฤติ และเมื่อโตขึ้นจะยังคงอ้วนและมีโอกาสเป็นโรคไม่ติดต่อสูงมาก หากไม่แก้ไขอีก 5 ปี คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป 1 ใน 2 คน จะทั้งอ้วนทั้งป่วย เครือข่ายจึงผลักดันกฎหมายคุมการตลาดอาหารที่จูงใจเด็กเพื่อลดปัญหาโรคอ้วนอย่างยั่งยืน
รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ( Association of Thai NCDs Alliance) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาวะอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้นสองเท่าเทียบกับเมื่อสิบปีก่อน สาเหตุสำคัญเกิดจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มี น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง โดยส่วนหนึ่งเพราะเด็กถูกกระตุ้นพฤติกรรมบริโภคจากโฆษณาและการตลาดที่ใช้เทคนิคโน้มน้าวจูงใจเด็ก ทำให้เด็กเกิดความต้องการซื้อและเกิดการบริโภคอาหาร และยังเป็นการสร้างนิสัยการกินที่ผิด ๆ ประกอบกับผู้ใหญ่บางส่วนเข้าใจผิดว่าเด็กอ้วนไม่เป็นไรเมื่อโตขึ้นก็จะผอมเอง จึงยินยอมซื้ออาหารและเครื่องดื่มตามใจเด็ก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะจากการศึกษาพบว่าผู้ใหญ่ที่อ้วนร้อยละ 55 เคยอ้วนตอนเป็นเด็ก ดังนั้นเด็กอ้วนจึงมีความเสี่ยงที่จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนและเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs ตั้งแต่อายุยังน้อย หากไม่แก้ไขอีก 5 ปี คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป 1 ใน 2 จะเป็นโรคอ้วน
ทั้งนี้ สำรวจเด็กไทยประมาณ 70-80% พบเห็นสื่อและเทคนิคการตลาดอาหารในชีวิตประจำวันจนชินตา และเลือกซื้ออาหารและขนมโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กตามแนวทางเพื่อการยุติโรคอ้วนในเด็กในระดับสากล (Ending Children Obesity : ECHO) ขององค์การอนามัยโลก
เครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทยร่วมกับกรมอนามัยและภาคีสุขภาพ ได้ยกร่างกฎหมายควบคุมการโฆษณาและการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก เพราะมีหลักฐานทางวิชาการชัดเจนว่าการใช้กฏหมายที่เข้มแข็งควบคุมการโฆษณาการตลาดอาหารฯ จะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาโรคอ้วนในเด็กอย่างชัดเจน โดยการห้ามทำการโฆษณาที่มีลักษณะโน้มน้าวจูงใจเด็ก ห้ามทำการแลก แจก แถม ชิงรางวัล ห้ามบริจาคอาหารหรือขนมเหล่านี้ในกิจกรรมของโรงเรียนเพราะเป็นการสนับสนุนที่เชื่อมโยงกับสินค้าโดยตรง ห้ามทำกิจกรรมการตลาดออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งร่างกฎหมายนี้ยกร่างมากว่า 3 ปี และผ่านการประชาพิจารณอย่างกว้างขวางแล้ว
ทั้งนี้ สาเหตุของโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีความหวานมันเค็มสูงเป็นปัจจัยหลักถึงร้อยละ 80 ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การไม่ออกกำลังกาย และภาวะเครียด เป็นต้น ปัจจุบันพบผู้ป่วยที่อ้วนและป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ปี เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งสมาพันธ์โรคอ้วนนานาชาติคาดการณ์ในอีก 6-7 ปี ข้างหน้า จะเกิดภาระทางด้านค่ารักษาพยาบาลและเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 7 แสน ล้านบาท รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ กล่าวตอนท้าย