รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิมล กาญจนสุธา
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ปัจจุบัน มลพิษทางอากาศส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคนเราเป็นอย่างมาก โดยสารมลพิษทางอากาศแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1. อนุภาคหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่าฝุ่นละออง ซึ่งจะมีชื่อเรียกตามขนาด อาทิ PM10 PM2.5 เป็นต้น 2. ก๊าซแก๊สต่าง ๆ อาทิ คาร์บอนไดออกไซด์ โอโซน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นต้น ซึ่งความอันตรายของมลพิษทางอากาศคือมลสารบางชนิดไม่มีกลิ่น ไม่มีสี เมื่อเข้าไปสะสมในร่างกายอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรงขึ้น
กรุงเทพมหานคร เป็นเขตเมืองที่มีกิจกรรมหลากหลายและมีแหล่งกำเนิดสารมลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นการจราจร การใช้รถ ใช้ถนน ซึ่งในภาวะปกติ กรณีที่สภาพบรรยากาศเอื้อต่อการระบายอากาศ การเจือจางสารมลพิษในบรรยากาศก็จะไม่เกิดปัญหาใด ทุกครั้งที่เกิดปัญหาจะเห็นได้ว่ามีปัจจัยเอื้อทางอุตุนิยมวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ความกดอากาศสูง สภาพอากาศปิด เพดานอากาศต่ำลง ลมสงบ ไม่มีการถ่ายเท หรือการหมุนเวียนของอากาศ เกิดสภาวะมลพิษทางอากาศขึ้นในกรุงเทพฯ โดยสถิติที่ผ่านมามักจะเกิดในช่วงปลายปีประมาณเดือนพฤศจิกายน – เดือนมีนาคม ของทุกปี กรุงเทพฯ จะมีสภาพอากาศปิด ส่งผลต่อการระบายหรือเจือจางของสารมลพิษในบรรยากาศ ด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้ ทำให้นักวิจัยหลายภาคส่วนได้ทำการศึกษาปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยามากขึ้น
โดยปกติเราจะคุ้นเคยกับ Air Quality Index (AQI) ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทย แบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยการนำค่าความเข้มข้นของสารมลพิษแต่ละชนิดมาแปลผลนำเสนอในรูปแบบอย่างง่าย โดยใช้สีเป็นสัญลักษณ์เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจของประชาชน เริ่มจากสีฟ้า เขียว เหลือง ส้ม และแดง ตามลำดับ โดยรายงานค่า AQI ที่สูงที่สุดเพียง 1 ชนิด ที่คำนวณได้จากค่าการตรวจวัดสารมลพิษเกณฑ์จำนวน 6 ชนิด (PM10, PM2.5, O3, SO2, CO, NO2) เพื่อสื่อสารสถานการณ์คุณภาพอากาศ ค่า AQI จะเริ่มตั้งแต่ 0 ไปจนถึงมากกว่า 200 และในกรณีที่ค่า AQI มีค่าสูงกว่า 100 เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ หมายถึงค่าสารมลพิษทางอากาศที่เกินค่ามาตรฐาน เนื่องจากค่า AQI จะอ้างอิงค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศของประเทศไทย ซึ่งในความเป็นจริงสารมลพิษที่มีค่าสูงที่สุดเพียง 1 ชนิดอาจไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงเชิงสุขภาพที่แท้จริง รวมถึงสารมลพิษที่มีค่าการตรวจวัดไม่เกินค่ามาตรฐานก็ไม่แสดงถึงว่าจะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ จึงทำให้เกิดการพัฒนาเครื่องมือชนิดใหม่ที่เรียกว่าค่าดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ Air Quality Health Index (AQHI) เพื่อใช้สื่อสารความเสี่ยงสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับความเสี่ยงต่ำ (Low Risk) ค่า AQHI อยู่ในช่วง 1-3 ระดับความเสี่ยงปานกลาง (Moderate Risk) ค่า AQHI อยู่ในช่วง 4-6 ระดับความเสี่ยงสูง (High Risk) ค่า AQHI อยู่ในช่วง 7-10 และระดับความเสี่ยงสูงมาก (Very High Risk) ค่า AQHI มากกว่า 10 ขึ้นไป โดยแสดงค่าสีเป็นสีเขียว เหลือง ส้ม และแดง ตามลำดับ
จุดเด่นของค่า AQHI คือจะมีการนำข้อมูลสุขภาพจากประชาชนในพื้นที่เชื่อมโยงกับข้อมูลคุณภาพอากาศนอกจากนี้ยังเป็นการประเมินความเสี่ยงสุขภาพแบบองค์รวมที่มาจากสารมลพิษมากกว่า 1 ชนิด ซึ่งจากผลการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานครพบว่า 4 สารมลพิษหลัก ได้แก่ PM10, PM2.5, O3 และ SO2 มีความสัมพันธ์กับอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนเคสที่เข้ารับการรักษาจากแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลในพื้นที่ด้วยกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ หัวใจและหลอดเลือดและระบบไหลเวียนเลือด และในการศึกษาค่า AQHI จะเป็นการแสดงผลรวมความเสี่ยงสุขภาพจากสารมลพิษในพื้นที่ที่ระดับความเสี่ยงต่างๆ อาทิ ค่า AQHI เท่ากับ 4-6 อยู่ในความเสี่ยงระดับปานกลาง ผู้ที่ได้รับสัมผัสสารมลพิษทางอากาศระดับนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจหรือหัวใจที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับประชากรในพื้นที่อื่นที่รับสัมผัสสารมลพิษทางอากาศน้อยกว่าหรือไม่ได้รับเป็นร้อยละ 40-60 ทั้งนี้ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอาจน้อยกว่าหรือมากกว่าค่าคำนวณขึ้นกับปัจจัยส่วนบุคคล
ประโยชน์ของการสื่อสารความเสี่ยงโดยใช้ค่า AQHI เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์จริง ประเมินได้ และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เมื่อต้องออกไปทำกิจกรรมภายนอกอาคารในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ โดยเมื่อทราบว่าความเสี่ยงอยู่ในระดับใด ทำให้เราสามารถจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมได้ เช่น ประเมินความเสี่ยงสุขภาพอากาศภายนอกแล้วอยู่ในระดับความเสี่ยงสูง (สีส้ม) ควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง หากจำเป็นต้องออกไปจริง ๆ ข้อควรคำนึง คือ ระยะเวลาทำกิจกรรมและความเข้มข้นของสารมลพิษ ในกรณีจำเป็น ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันตนเอง อาทิ หน้ากากป้องกัน PM2.5 และลดหรือจำกัดระยะเวลาที่อยู่ภายนอกให้สั้นที่สุด
สำหรับคำแนะนำการปฏิบัติตนของประชาชนใน 4 ระดับความเสี่ยง ประกอบด้วย ความเสี่ยงแรก คือ ความเสี่ยงระดับต่ำ 1-3 เป็นสีเขียว สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถทำกิจกรรมภายนอกอาคาร หรือ วิ่งออกกำลังกายได้ปกติ ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยง อาจจะเพิ่มเฝ้าติดตามสถานการณ์เป็นระยะ ๆ ถ้าเป็นความเสี่ยงระดับปานกลาง 4 – 6 กลุ่มเสี่ยงอาจจะต้องพิจารณา ถ้าหากมีความจำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมภายนอกอาคาร ให้พิจารณาปรับรูปแบบกิจกรรม หรือหากปรับเปลี่ยนได้ก็ควรหลีกเลี่ยง หากมีความจำเป็นต้องออกไป ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันตนเอง อาทิ หน้ากากป้องกัน PM2.5 และลดระยะเวลาการออกไปสัมผัส หรือหากพื้นที่ที่มีระดับความเสี่ยงระดับสูงมาก เกินกว่า 10 ขึ้นไป ทั้งประชาชนกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มทั่วไป ควรจะอยู่ในพื้นที่หรือห้องที่มีการควบคุมคุณภาพอากาศ ในส่วนของสถานพยาบาล ควรมีการเพิ่มการแจ้งเตือนสำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีนัดที่มีอาการคงที่ ไม่มีอาการรุนแรง หากเดินทางไปในพื้นที่วิกฤตมลพิษอากาศเพื่อพบแพทย์ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ควรมีระบบการส่งยาทางไปรษณีย์ให้กับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ในส่วนของสถานศึกษาในพื้นที่ที่มีค่า AQHI อยู่ในระดับสูงมาก อาจพิจารณางดเว้นการเรียนการสอนหรือกิจกรรมภายนอกอาคาร ควรจัดให้มีห้องควบคุมคุณภาพอากาศให้สำหรับกลุ่มเสี่ยง หรือปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนเป็นระบบออนไลน์ทั้งหมดหรือแบบผสมระหว่างการเรียนออนไลน์กับการเรียนในห้องเรียน อย่างไรก็ตามถือได้ว่าคนทุกกลุ่มวัยมีความเสี่ยงต่อการรับสารมลพิษทางอากาศ แม้กระทั่งคนที่มีร่างกายแข็งแรง เมื่อรับสารมลพิษมากขึ้น สารพิษเหล่านั้นส่วนหนึ่งจะเข้าไปสะสมในร่างกาย จนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิต เช่น มะเร็งปอด เป็นต้น ดังนั้นการรับรู้สถานการณ์โดยใช้เครื่องมือที่สามารถประเมินความเสี่ยงสุขภาพจากมลพิษทางอากาศได้ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันตนเองของประชาชนทุกคน
อากาศเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน การสื่อสารความเสี่ยงสุขภาพเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ประชาชนใช้เพื่อตัดสินใจวางแผนการดำเนินชีวิตหรือการทำกิจกรรมภายนอกอาคารได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ ทั้งนี้คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลและภาคีเครือข่ายได้พัฒนาค่า AQHI ขึ้นใช้ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และนำเสนอผ่านช่องทาง website ซึ่งมีการแสดงค่า AQHI แบบรายชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต โดยสามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่ https://aqhi.mahidol.ac.th/
นอกเหนือจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทีมวิจัยมุ่งหวังในการต่อยอดพัฒนาสู่พื้นที่อื่นในประเทศ เพื่อผลักดันให้เกิดผลในระดับนโยบายต่อไป เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญในการชี้นำสังคมด้วยองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน” ตามปณิธานฯ