xs
xsm
sm
md
lg

ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ สะเก็ดเงิน คุณรู้จัก 3 โรคนี้ดีแค่ไหน?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



90% เชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยได้ยินชื่อโรค ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ สะเก็ดเงิน แต่ก็ยังรู้จักไม่ดีพอว่าเกิดจากอะไร แล้วต้องป้องกัน รักษายังไง ทั้งๆที่เป็น โรคที่พบเจอได้ง่ายจากคนใกล้ตัว แต่หาข้อมูลก็ไม่แน่ใจว่าถูกต้องไหม วันนี้ได้รับเกียรติจาก นพ.จรัสศักดิ์ เรืองพีระกุล แพทย์ด้านผิวหนัง ประจำศูนย์การแพทย์พีระกุล และสะเก็ดเงิน จะมาตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับทั้ง 3 โรคนี้ให้ครับ

ผู้เขียน : โรคภูมิแพ้อากาศ ฝุ่น อาหาร เกิดจากอะไรครับ
อาจารย์จรัสศักดิ์ : โรคภูมิแพ้ (Allergic reactions) เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองเกินไปต่อสารที่ปกติไม่เป็นอันตราย เช่น ฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ หรืออาหารบางชนิด โดยระบบภูมิคุ้มกันจะผลิตสารเคมี เช่น ฮีสตามีน (Histamine) ออกมา ทำให้เกิดอาการจาม คัดจมูก คัน บวม ผื่น หรือการอักเสบ

ผู้เขียน : แล้วมีโอกาสหายไหมครับ
อาจารย์จรัสศักดิ์ : โรคภูมิแพ้บางชนิดสามารถลดความรุนแรงลงได้หรือหายไปได้ในบางคน แต่ก็ขึ้นอยู่กับอายุ การดูแล และสภาพแวดล้อม โดยจะมีการรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (Allergy shots) หรือการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอาจช่วยให้โรคภูมิแพ้ลดลงได้

ผู้เขียน : หากไม่หายมีแนวทางการดูแลไหมครับ
อาจารย์จรัสศักดิ์ : แนะนำให้หลีกเลี่ยงสารที่ก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ หรืออาหารที่แพ้
ใช้ยาลดการแพ้ เช่น ยาแอนตี้ฮีสตามีน (Antihistamine) หรือถ้าอาการหนักบางคนใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid) นอกจากนี้ การทำความสะอาดบ้าน และสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยลดการสะสมของฝุ่น และเชื้อโรค

ผู้เขียน : การออกกำลังกายจะทำให้หายภูมิแพ้ได้จริงไหมครับ
อาจารย์จรัสศักดิ์ : ออกกำลังกายไม่สามารถรักษาโรคภูมิแพ้ได้โดยตรง แต่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นและลดความรุนแรงของโรคได้ แต่ถ้าออกกำลังกายสม่ำเสมออาจหายได้เหมือน "วิว" กุลวุฒิ นักแบดมินตัน

ผู้เขียน : โรคแพ้ภูมิตัวเองพุ่มพวง (โรค SLE หรือ Systemic Lupus Erythematosus) เกิดจากอะไรครับ
อาจารย์จรัสศักดิ์ : เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง ทำให้เกิดการโรคในอวัยวะ เช่น ผิวหนัง ข้อต่อ ไต หัวใจ และสมอง การเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากปัจจัยร่วมหลายอย่าง เช่น พันธุกรรม ฮอร์โมน และสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัสแสงแดด การติดเชื้อ หรือการใช้ยาบางชนิด

ผู้เขียน : รักษาหายไหมครับ
อาจารย์จรัสศักดิ์ :โรค SLE ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยการรักษา เช่น การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants) ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) หรือยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ โดยมีแนวทางป้องกันได้จากการ หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจ้าโดยตรง เพราะแสงแดดเป็นปัจจัยกระตุ้นการกำเริบของโรค นอกจากนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดอาจกระตุ้นการเกิดอาการได้ ทั้งนี้ควรรับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด พร้อมกับตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินการดำเนินโรค และปรับการรักษาได้อย่างเห็นผล

ผู้เขียน : สะเก็ดเงิน (Psoriasis) เกิดจากอะไร
อาจารย์จรัสศักดิ์ : สะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ทำให้เซลล์ผิวหนังผลิตเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวหนังเป็นแผ่นหนา เกิดเป็นสะเก็ดสีเงินหรือสีขาว สาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ยังไม่ทราบชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม ความเครียด การติดเชื้อ การบาดเจ็บของผิวหนัง หรือการใช้ยาบางชนิด ในปัจจุบัน โรคสะเก็ดเงินยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุม และบรรเทาอาการได้ โดยกระบวนการรักษาอาจรวมถึงการใช้ยาทาภายนอก เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ยาที่ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์ผิวหนัง และการใช้ยาในกรณีที่มีอาการรุนแรง เช่น ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants) หรือการรักษาด้วยแสง (Phototherapy) อาการของโรคสามารถดีขึ้นได้ในบางช่วง ขึ้นอยู่กับปัจจัยกระตุ้นและการดูแลรักษา ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น การบาดเจ็บที่ผิวหนัง(โดยเฉพาะการเกา) การติดเชื้อ ความเครียด การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้อาการสะเก็ดเงินแย่ลงได้

โดยทั้ง 3 โรคนี้ จะมีจุดเหมือนกัน คือ
-เกิดความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
•โรคภูมิแพ้: ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองเกินไปต่อสารที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ฝุ่น หรืออาหาร
•โรค SLE: ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ
•โรคสะเก็ดเงิน: ระบบภูมิคุ้มกันทำให้เซลล์ผิวหนังเติบโตเร็วเกินไป จนเกิดเป็นสะเก็ดหนา
เป็นโรคเรื้อรังมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ และต้องการการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
-ปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด การติดเชื้อ หรือการบาดเจ็บทางร่างกาย สามารถกระตุ้นให้อาการของ ทั้งสามโรคแย่ลงได้
-การรักษาควบคุมอาการเน้นการควบคุมอาการผ่านการใช้ยา การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และการดูแลสุขภาพให้ดี
จุดต่าง 3 โรค คือ
-สาเหตุ และกลไกของโรค
•ภูมิแพ้ : เกิดจากการตอบสนองเกินของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ฝุ่น ละอองเกสร หรืออาหาร
•SLE (แพ้ภูมิตัวเองพุ่มพวง): ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะหลายส่วน เช่น ผิวหนัง ไต ข้อต่อ
•สะเก็ดเงิน : เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันเร่งการสร้างเซลล์ผิวหนังเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวหนังเป็นสะเก็ด
-อาการ และการแสดงออกของโรค:
•ภูมิแพ้: อาการมักเกิดเฉพาะที่ เช่น จาม น้ำมูกไหล ผื่นคัน หรือปวดท้อง (ถ้าแพ้อาหาร)
•SLE: อาการหลากหลายและกระทบหลายระบบ เช่น ผื่นผิวหนัง ปวดข้อ อาการทางไต หัวใจ และระบบประสาท
•สะเก็ดเงิน: แสดงออกที่ผิวหนังเป็นหลัก เช่น ผิวหนังหนา สะเก็ดขาว หรือเงิน มีอาการคันหรือปวด
-การรักษา
•ภูมิแพ้: ใช้ยาลดการอักเสบ และยาป้องกันการแพ้ เช่น ยาแอนตี้ฮีสตามีน
•SLE: ต้องการการรักษาที่ซับซ้อนกว่าด้วยยากดภูมิคุ้มกัน ยาสเตียรอยด์ หรือยาที่ปรับการทำงานของภูมิคุ้มกัน
•สะเก็ดเงิน: ใช้ยาทาภายนอก การรักษาด้วยแสงอาทิตย์เทียม หรือยากดภูมิคุ้มกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
-พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในร่างกาย:
•ภูมิแพ้: มักเกิดเฉพาะที่ เช่น ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง หรือระบบทางเดินอาหาร
•SLE: มีผลกระทบทั่วร่างกาย เช่น ผิวหนัง ข้อต่อ ไต และอวัยวะภายในอื่น ๆ
•สะเก็ดเงิน: ส่วนใหญ่ส่งผลเฉพาะที่ผิวหนัง

ทั้งสามโรคมีความเหมือนกันในเรื่องของการเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันและเป็นโรคเรื้อรัง แต่ความแตกต่างคือกลไกการเกิดโรค ลักษณะอาการ และวิธีการรักษา ทั้ง 3 โรคนี้ มีการเก็บข้อมูลทำให้พบว่าคนไทยเป็นโรคภูมิแพ้มากที่สุด โดยเฉพาะภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เช่น แพ้อากาศ ฝุ่น และละอองเกสร ซึ่งเป็นโรคที่พบในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในเด็ก และวัยรุ่นที่อาศัยในเมืองใหญ่ที่มีมลพิษทางอากาศ และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกปี เนื่องจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง PM2.5 และการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ในส่วนโรค SLE อาจมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากการตื่นตัวเรื่องการวินิจฉัยโรค และการเข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น แต่ยังคงพบในอัตราที่ค่อนข้างคงที่ ส่วนโรคสะเก็ดเงิน อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้อากาศเรื้อรังแนวโน้มจะได้โรคสะเก็ดเงินเพิ่มมาคู่กัน เพราะเมื่อภูมิคุ้มกันต่ำจากการที่ใช้สเตียรอยด์ หรือยากดภูมินานเกิน 1 สัปดาห์ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง รวมถึงปัจจัยอื่นๆเช่น ความเครียด และสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งกระตุ้น ครับ สุดท้ายนี้หากมีข้อสงสัยใดๆ สามารถปรึกษา อาจารย์ จรัสศักดิ์ เรืองพีระกุล ได้ที่เบอร์ 097-220-9628


กำลังโหลดความคิดเห็น