คาด 2 ปี อุตฯ "กัญชง" ไทยโต 2 พันล.เหรียญ สมาคมฯ ลุยทำ Hemp Sandbox หันปลูกที่ราบ ใกล้แหล่งแปรรูป-ขนส่ง หลังเทคโนโลยีปลูกดีขึ้น จ่อร่วมมือ มทส. มทร.ตะวันออก สร้างราคากลางวัตถุดิบกัญชง ไม่ห่วงหากคืนบางส่วนกัญชากัญชงเป็นยาเสพติด เผยทำตาม กม.ตลอด ประกาศจัดงาน Asia International Hemp Expo 2024 เชื่อมโยง 14 อุตฯ กัญชง 27-30 พ.ย.นี้ คาดเงินสะพัด 1 พันล.บาท
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย ร่วมกับบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) จัดงานแถลงข่าวสถานการณ์ธุรกิจอุตสาหกรรมกัญชงไทยและการจัดงาน Asia International Hemp Expo & Forum 2024 ระหว่างวันที่ 27-30 พ.ย. 2567 โดยนายพรชัย ปัทมินทร นายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย กล่าวว่า ปี 2567 แนวโน้มตลาดของอุตสาหกรรมกัญชงเปิดกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดยุโรปและเอเชียบางประเทศได้ปรับกฎหมายการใช้ประโยชน์ของกัญชงให้หลากหลายขึ้น สร้างโอกาสและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ คาดว่าปี 2026 อุตสาหกรรมกัญชงโลกจะเติบโต 1 แสนล้านดอลลาร์ จาก 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 ส่วนไทยคาดว่าเติบโตถึง 2 พันล้านดอลลาร์จาก 200 ล้านดอลลาร์เช่นกัน แรงขับเคลื่อนสำคัญของไทยคือ ความเป็นศูนย์กลางด้าน Medical & Wellness Hub ที่รัฐและเอกชนสนับสนุน
นายพรชัยกล่าวว่า การผลักดันให้เกิดความยั่งยืน คือ การสร้างมาตรฐานระดับสากล ที่ผ่านมาสมาคมฯ และเครือข่ายได้สร้างมาตรฐานการผลิตที่ดีและระบบ Tracking System เพื่อติดตามตลอดกระบวนการผลิต ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศมาตรฐานสารสกัดกัญชงตั้งแต่ปี 2564 จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ น้ำมันเมล็ดกัญชง สารสกัด CBD เปลือกกัญชง แกนกัญชง และเส้นใยกัญชง ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม เช่น สิ่งทอ อาหาร เครื่องสำอาง กระดาษ ยานยนต์ เป็นต้น สอดคล้องกับตลาดกัญชงใหม่ในทวีปยุโรปที่อนุญาตให้มีการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบจากไทย ทั้งนี้ เส้นใยและสารสกัดกัญชงนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น Alternative Wellness, ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ , อุตสาหกรรมแฟชั่น , ยานยนต์และอากาศยาน รวมถึงผลิตภัณฑ์ Lifestyle อุตสาหกรรมนี้ยังส่งเสริมแนวคิด ESG และเปิดโอกาสการสร้างและซื้อขายเครดิตคาร์บอน เนื่องจากัญชงสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศได้มากกว่าพืชชนิดอื่นๆ แต่การสร้างมาตรฐานและตรวจสอบความถูกต้องของเครดิตคาร์บอนยังเป็นความท้าทาย
นายพรชัยกล่าวว่า สมาคมฯ มีแนวทางผลักดันให้เกิดราคากลางในวัตถุดิบกัญชงที่เหมาะสม เพื่อเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานให้ตลาดเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจัดตั้งโครงการ Hemp Sandbox ส่งเสริมการปลูกกัญชงในพื้นที่ราบจากเดิมในพื้นที่ราบสูง ส่งเสริมการปลูกใกล้แหล่งผู้ประกอบการแปรรูปและขนส่งเพื่อส่งออก โดยจะส่งเสริมองค์ความรู้การปลูก จัดหาเมล็ดพันธุ์ที่รับรองพันธุ์ โดยภาครัฐสนับสนุนการให้ความรู้ด้านความต้องการของตลาดในแต่ละอุตสาหกรรม วางแนวทางร่วมคิดค้นและพัฒนาเครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวและแปรรูป สนับสนุนพื้นที่แปลงทดลองปลูกและระบบชลประทานจากหลายภาคส่วน เชื่อว่าจะช่วยสร้างมาตรฐานที่ดีตั้งแต่กระบวนการผลิต สอดคล้องความต้องการและมาตรฐานแต่ละอุตสาหกรรมในตลาดต่างประเทศ เช่น การจดทะเบียนรับรองพันธุ์ การทำเอกสาร Certificate of Analysis (COA) ของพันธุ์พืช การควบคุมมาตรฐานการปลูก การผลิตตามมาตรฐาน GMP, EU-GMP, Green Industry, ISO27716, 14001, 9001, Halal และมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการบริหารบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) กล่าวว่า งาน Asia International Hemp Expo 2024 ปีนี้ถือเป็นปีที่ 3 มีการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับ 14 อุตสาหกรรม มีการจัดสัมมนานานาชาติที่เป็น Case Study และแบ่งปันความรู้จากวิทยากรที่มีประสบการณ์จริงกว่า 20 ประเทศที่มีความโดดเด่นในสาขาต่างๆ ทั้งเทคนิคการปลูก การสกัด ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาหารแห่งอนาคต ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอากาศยาน เฮมพ์กรีต และมาตรฐานการผลิตสำหรับตลาดในประเทศต่างๆ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 บริษัท ผู้เข้าชมงานกว่า 1 หมื่นคน และมีเงินสะพัดจากงานครั้งนี้กว่า 1 พันล้านบาท ส่วนไฮไลท์ของงานคือ การเชื่อมโยงห่วงโซ่วัตถุดิบ โดยจัด HEMP Supply Chain Pavilion ที่เปิดโอกาสให้ผู้ปลูกเข้าร่วมนำเสนอศักยภาพและปริมาณความสามารถในการปลูกกับผู้ซื้อภาคอุตสาหกรรม โดยภาคอุตสาหกรรมจะนำเสนอคุณสมบัติของวัตถุดิบและปริมาณความต้องการซื้อในแต่ละปี จะทำให้ผู้ปลูกวางแผนปลูก เลือกเมล็ดพันธุ์ และเลือกวิธีปลูกได้ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังร่วมกับสมาคม Design Object จัดนิทรรศการ HEMP Inspired Showcase นำผลงานจากนักออกแบบผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบกัญชงจัดแสดงภายในงานเพื่อแสดงศักยภาพของวัตถุดิบและสร้างแรงบันดาลใจที่เป็นการเพิ่มอุปสงค์ให้กับอุตสาหกรรมกัญชง
ถามถึงกรณีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทำร่างประกาศนำกัญชากัญชงกลับไปเป็นยาเสพติดโดยรับฟังความคิดเห็นไปแล้วนั้น มีการกำหนดช่อดอกและสาร THC มากกว่า 0.2% ตรงนี้จะกระทบต่ออุตสาหกรรมกัญชงหรือไม่ นายพรชัยกล่าวว่า ปัจจุบันสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2% เป็นยาเสพติดอยู่แล้ว มีกฎหมายควบคุมการใช้อย่างชัดเจน มีการจ่ายโดยบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนการเดินหน้าอุตสาหกรรมในเชิงสุขภาพและการแพทย์ ปัจจุบันคนทำผลิตภัณฑืก็ต้องขึ้นทะเบียน อย.ตามปกติอยู่แล้ว จะมีมาตรฐานและเกณฑ์ที่ทำตามระบบและขั้นตอน ส่วนช่อดอกนั้นตั้งแต่ตอนต้นของอุตสาหกรรมกัญชง ทุกคนก็มีการขอใบอนุญาตในการประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการอื่นๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับพืชกัญชงเกี่ยวกับการแพทย์สุขภาพและเส้นใยที่แยกออกไป เชื่อว่าการเดินหน้าทางภาครัฐและเอกชนจะช่วยกันผลักดันให้ตรงตามพันธกิจประเทศในการเป็นเอเชีย เมดิคัลฮับ วิทยาศาสตร์ วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการรักษา ซึ่งทุกวันนี้เราเป็นผู้นำให้บริการสาธารณสุขแก่ต่างประเทศอยู่แล้ว ก็ต้องทำงานร่วมกัน
ถามย้ำว่าแสดงว่าไม่ว่าสถานะบางส่วนของกัญชงจะมีการปรับเปลี่ยนเป็นยาเสพติดหรือไม่ ก็ไม่กระทบต่อการเดินหน้าอุตสาหกรรม นายพรชัยกล่าวว่า จริงๆ ปกติผู้ประกอบการกัญชงเราทำตามกฎหมายอยู่แล้วตั้งแต่รุ่น 1 ต้นปี 2564 ทุกคนไปขอไลเซนส์ในการปลูก สกัด จำหน่าย ครอบครอง นำเข้า ส่งออก ก็ต้องไปขอทาง อย. มีการเดินหน้าช่วยเหลือกัน และทำตามกฎระเบียบที่จะต้องเป็นอยู่แล้วถามถึง Hemp Sandbox ที่จะนำกัญชงมาปลูกพื้นที่ราบ จะได้คุณภาพที่แตกต่างกับที่ราบสูงหรือไม่ เพราะมีผลเรื่องของอุณหภูมิต่างๆ นายพรชัยกล่าวว่า Hemp Sandbox จะเป็นเรื่องเส้นใยเป็นหลัก เราจะไม่ห่วงเรื่องสารสกัดที่ได้ เราห่วงคุณภาพเส้นใยมากกว่า สมัยก่อนไทยเริ่มปลูก 40-50 ปีที่แล้ว ส่วนใหญ่อยู่บนพื้นที่สูง มีเรื่องต้นทุนในการขนส่ง ตอนนี้เทคโนโลยีด้านเกษตรกรรมดีขึ้น มีการวิจัยพัฒนาสายพันธุ์ดีขึ้นเรื่องการริหารจัดการต้นทุน เป็นเรื่องที่ดีจะทำให้เป็นพืชเศรษฐกิจ เพราะเส้นใยกัญชงนำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้เยอะมาก
"การปลูกในที่ราบและที่สูง เรื่องแรกๆ ที่ห่วงกัน คือ คุณภาพช่อดอกหรือสารสกัด สมัยก่อนปลูกในพื้นที่สูงเป็นหลัก แต่ไม่มีใครเริ่มทำพื้นที่ราบเลย สมาคมฯ ก็เลยลงมาทดลองวิจัยพัฒนาร่วมกับภาคเอกชนและภาคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เป็นต้น เชื่อว่าปลูกที่ราบจะสะดวกกว่าและควบคุมต้นทุนการขนส่งได้ดีกว่าเยอะ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเริ่มทดลองปลูก คงใช้เวลาหลายเดือนก็จะเห็นภาพว่าจะได้ข้อสรุปแบบไหนอย่างไร" นายพรชัยกล่าว
ถามว่าการทำราคากลางวัตถุดิบกัญชงจะเดินหน้าอย่างไร นายพรชัยกล่าวว่า เมือ่เราได้เห็นการทำงานแบบรูปธรรมในเรื่องเทคโนโลยีทางการเกษตร การใช้วิทยาศษสตร์ วอจัยและพัฒฯา สำคัญมากคือราคากลาง เพาะผู้ปลูกที่เราเชื้อเชิญมาปลูกให้เป็นพืชเศรษฐกิจก็ต้องมีราคามารองรับ สมาคมฯ จะร่วมกับภาครัฐหลายกระทรวงเพื่อให้เกิด Supply Chain ขึ้นมา เมื่อเกิดแล้วก็ต้องมีราคากลางที่ลงมาช่วยควบคุมให้ทุกคนอยู่กันได้เป็นวินวิน