อาจารย์โภชนาการ ชี้กิน "ผักผลไม้" เพียงพอช่วยลดเสี่ยงโรค NCDs แต่ห่วงสารพิษตกค้างก่อโรคมะเร็งแทน นักวิจัย CAMH เผยไทยยังขาดข้อมูลเฝ้าระวังผักผลไม้ระดับประเทศ เดินหน้าทดลองทำงานข้ามกระทรวง จ่อทำโมเดลนำร่องผลตรวจ "พริก-ส้ม" ระดับประเทศ คาด 2 ปีเห็นภาพชัด ด้านผู้ประกอบการตลาดหนุนระบบตรวจที่จุดรวบรวม
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) มหาวิทยาลัยมหิดล กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ The Centre for Addiction and Mental Health (CAMH) ร่วมแถลงข่าวและเสวนาวิชาการ “ยกระดับความร่วมมือ” การตรวจติดตามเฝ้าระวังสารพิษตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตรในผักและผลไม้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ภายใต้การดำเนินงาน “โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับการทำงานหลายภาคส่วนที่มีประสิทธิผล ปฏิบัติได้และยั่งยืน เพื่อการป้องกันและควบคุมปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยวิธีการสื่อสารความรู้แบบครอบคลุมโดยมีผู้ใช้ความรู้เป็นศูนย์กลาง”
ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล นักวิจัยประจำโครงการฯ, นักวิทยาศาสตร์จาก The Centre for Addiction and Mental Health (CAMH) กล่าวว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกและไทย ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ โดยพบว่า 67% ของการเสียชีวิตในคนไทยมาจากโรค NCDs หรือราว 370,000 ราย เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด 122,581 ราย มะเร็ง 96,988 ราย เบาหวาน 30,529 ราย และโรคปอดเรื้อรัง 22,531 ราย การแก้ปัญหาทางหนึ่งคือการรักษา แต่ผู้ป่วยก็มีจำนวนมาก การจะป้องกันให้น้อยลงต้องมาที่เรื่องของพฤติกรรม ซึ่งจากการคำนวณพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค พบว่า บุหรี่ทำให้เกิดโรค 54,610 ราย เหล้า 21,843 ราย อาหารทำลายสุขภาพ 21,650 ราย และการไม่มีกิจกรรมทางกาย 11,453 ราย โดยเรื่องของการบริโภคอาหารเป็น 1 ใน 5 ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึง 9.7% ของคนไทย
ดร.นพ.บัณฑิตกล่าวว่า การแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องอาศัยการบูรณาการข้ามกระทรวง หรือ Multisectoral Collaboration (MSC) ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานจำนวนมาก เช่น เรื่อง NCDs บุหรี่ เหล้า อาหาร แต่ถ้าประธานเบอร์หนึ่งส่งตัวแทน ทุกหน่วยงานก็จะส่งตัวแทน ทำให้ขาดประสิทธิภาพ ถ้าเบอร์หนึ่งสนใจเรื่องไหนทุกกระทรวงก็จะวิ่งหมด ถือเป็นระบบที่ได้ผลดีทางทฤษฎี แต่อาจมีปัญหาทางภาคปฏิบัติด้วย ซึ่งโครงการวิจัยฯ ลงทุนทดลองวิธีทำงานข้ามกระทรวง 3 เรื่อง คือ กระทรวงการคลัง เรื่องภาษีบุหรี่ เหล้า น้ำตาล กระทรวงศึกษาธิการ บูรณาการการสอนประเด็นสุขภาพเข้าไปในโรงเรียนในสังกัด สพฐ. และการพัฒนาระบบข้อมูลสารพิษตกค้างในผักและผลไม้ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเชื่อมการทำงานระดับกลางหรือระดับกองร่วมกันก่อน แล้วค่อยกลับไปเสนอ ซึ่งจากการทำงานร่วมกันระยะแรกพบว่า เรื่องผักและผลไม้ยังไม่มีข้อมูลเฝ้าระวังระดับประเทศ แต่ละหน่วยงานจะมีข้อมูลตัวเองแต่ยังไม่ได้เอามาประกอบกันว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ชุดตรวจไม่ตรงกัน เช่น ใช้ 2 กลุ่มสาร หรือ 4 กลุ่มสาร เป็นต้น เมื่อเสนอคณะกรรมการอาหารแห่งชาติจึงห็นถึงความจำเป็นของการมีระบบข้อมูลระดับประเทศ จึงตั้งคณะทำงานทางการมีหน่วยงานทั้งสาธารณสุขและเกษตรฯ เข้าร่วม
"ในเฟสถัดไปจะสาธิตทดลองทำข้อมูลสมมติขึ้นใน 1 ผัก 1 ผลไม้ คือ พริกและส้ม ที่มีสัดส่วนการตรวจเจอสารพิษจำนวนมาก เพื่อดูว่าหน้าตาระบบข้อมูลควรเป็นอย่างไร ควรสุ่มแบบไหน ตรวจวัดด้วยเครื่องมืออะไร ควรบันทึกข้อมูลและเชื่อมข้อมูลอย่างไร เพื่อให้ได้ข้อมูลในระดับประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี รวมถึงจะคำนวณเงินที่จะต้องลงทุนในการตรวจเป็นเท่าไร และรัฐต้องตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐต้องคุ้มครองประชาชน" ดร.นพ.บัณฑิตกล่าว
รศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เรื่องผักและผลไม้ไม่ใช่แค่เรื่องของโภชนาการหรือสารอาหาร แต่มีสารสำคัญช่วยป้องกันโรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจและหลอดเลือด ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคผักผลไม้ขั้นต่อ 400 กรัมต่อวัน เพราะมีข้อมูลงานวิจัยเชิงประจักษ์ว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด 31% เส้นเลือดสมองตีบ 19% มะเร็งกระเพาะอาหาร 19% มะเร็งปอด 12% และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 2% เป็นต้น ถ้าบริโภคได้มากกว่าที่แนะนำความเสี่ยงก็จะลดลง ที่ผ่านมามีการรณรงค์เชิญชวนให้คนบริโภคผักผลไม้ โดยเฉพาะในเด็ก แต่หากผักผลไม้ไม่ปลอดภัย ก็จะได้รับสารพิษไปด้วย ยิ่งเด็กก็ยิ่งไดรับผลกระทบมาก รวมถึงผู้ที่รับประทานผักผลไม้มากกว่าที่แนะนำ เช่น เป็น 600 กรัม หรือ 1 กิโลกรัมต่อวัน ปริมาณสารพิษตกค้างก็จะเพิ่มขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรค NCDs ชนิดหนึ่ง ซึ่งผักผลไม้อาจมีผลในการลด NCDs แต่สิ่งที่มาปนเปื้อนหรือสารพิษตกค้างก็ก่อโรค NCDs อีกชนิดคือมะเร็งเหมือนกัน
"ที่มาของสารพิษตกค้างในผักผลไม้ที่ต้นน้ำหรือเกษตรกรมีการใช้ เท่าที่ทำโครงการศึกษา พบว่า มี 2 ประเด็น คือ 1.ตั้งใจใส่ลงไปแล้วเกินขนาดที่อนุญาตและตกค้าง อาจจะเก็บเกี่ยวก่อนที่ยาจะสลายตัวไป อย่างวันนี้ราคาดียังไม่ครบกำหนดก็ตัดไปขาย หรือมีคนมารับซื้อถึงหน้าแปลงไม่ต้องเอาไปขาย เมื่อมองในเชิงรายได้ก็จะขายไป และ 2.เกษตรกรไม่ทราบว่าปนเปื้อนหรือตกค้างมาจากแหล่งอื่นหรือเรียกว่า "ปนเปื้อนข้าม" เช่น ไม่ใช้สารเคมี ใช้ปุ๋ยหมักแบบชีวภาพรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ผักผลไม้ที่เอามาหมักบางทีมีการใช้เคมีอยู่ พอเอามารดแปลงผักก็เลยไปปนเปื้อนทั้งที่ไม่ได้ใช้สารเคมี อย่างไรก็ตาม การขึ้นทะเบียน GAP หรือมาตรฐานการเกษตรที่ดี ทำให้เรียนรู้การปลูก และนำสอบย้อนกลับได้ ว่าใช้สารตั้งแต่วันไหน ถ้าไม่มี GAP ก็ตรวจไม่ได้" รศ.ดร.ชนิพรรณกล่าว
น.ส.ก่อวดี ผลเกลี้ยง นักวิชาการมาตรฐานชำนาญการพิเศษ กองควบคุมมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า การขึ้นทะเบียน GAP สามารถใช้สารเคมีได้ แต่ต้องใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งกรมวิชาการเกษตรจะลงไปตรวจตรวจประเมิน หากไม่ผ่านการรับรองจะมีการให้คำแนะนำ แม้ GAP จะไม่สามารถการันตีเรื่องมูลค่าได้ แต่ที่ผ่านมาเราชี้ให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของสุขภาพของตนเองว่า หลังรับ GAP สามารถประเมินได้ว่าสุขภาพตนเองดีขึ้นหรือไม่ มีเกษตรกรบางรายเข้ามาบอกว่า สุขภาพตนเองดีขึ้น เพราะเมื่อก่อนเวลาฉีดยาต้องใช้มือลงไปกวนสาร หรือมาบอกว่าไก่บ้านตนเองไม่ตาย เพราะใช้และเก็บสารเคมีอย่างถูกต้อง ไม่วางระเกะระกะ ไก่ที่เดินอยู่ก็ไม่โดนส่วนที่ปนเปื้อน ส่วน มกอช.จะสุ่มตรวจในท้องตลาดที่แสดงเครื่องหมายการรับรองแล้ว เราไปทวนสอบให้อีกที หากยังเจอตกค้างก็จะรู้แหล่งที่มาตามสอบกลับไปที่เกษตรกรได้ เพราะมีเลขรหัสที่จะรู้ว่าใครเป็นคนรับรอง รับรองด้วยมาตรฐานฉบับไหน เกษตรกรอยู่พื้นที่จังหวัดอะไร สินค้าชนิดไหน แปลงเกษตรกรที่ไหน
ภญ.สุภาวดี ธีระวัฒน์สกุล ผู้อำนวยการกองอาหาร สำนักงานคณกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า เรื่องอาหารปลอดภัย อย.มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การนำเข้าผักผลไม้ หากเคยมีประวัติตรวจเจอมาก่อน จะเก็บตัวอย่างตรวจเลย หากปลอดภัยก็จะปล่อยเข้ามาได้ ถ้าไม่ปลอดภัยก็ดำเนินคดีแล้วทำลายหรือผลักดันกลับประเทศต้นทาง ส่วนผักผลไม้ที่ไม่เคยมีประวัติจะสุ่มตรวจด้วยเทสต์คิท หากเป็นผลบวกก็ตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันอีกครั้ง ในอนาคตจะมีการประสานกรมวิชาการเกษตร เรื่อง "วันด่าน วันแล็บ วันเดย์" เริ่มที่ด่านเชียงของที่นำเข้าผักผลไม้อันดับสองของประเทศรองจากท่าเรือแหลมฉบัง จะอาศัยแล็บของกรมวิชาการเกษตรตรวจสารพิษตกค้าง ส่วนผักผลไม้ในประเทศ อย.จะดูในจุดโรงคัดบรรจุ โดยออกใบอนุญาตตามมาตรฐาน ตรวจโรงคัดบรรจุเป็นระยะ พร้อมสุ่มเก็บตัวอย่างตรวจวิเคราะห์ รวมถึงสุ่มเก็บจากแหล่งค้าส่งค้าปลีกทั่วไปด้วย ซึ่งการตรวจจากโรงคัดบรรจุสามารถแทร็กกลับไปได้หากมีสารตกค้างเกิน ก็จะทำหนังสือกรมวิชาการเกษตร เพื่อช่วยกำกับดูแลต้นทาง แต่ถ้าเก็บจากตลาดค้าส่งค้าปลีก ไม่สามารถแทร็กกลับได้ว่ามาจากแหล่งใด ถือเป็นปัญหาหนึ่งที่ไม่สามารถไปยังต้นตอ
"จากการตรวจผักผลไม้ทั้งที่นำเข้าและในประเทศเอง เฉลี่ย 3 ปีเราตรวจเจอสารพิษตกค้างประมาณ 22% สิ่งที่ทำได้คือ ประชาสัมพันธ์วิธีการล้างผักผลไม้ เพื่อลดการปนเปื้อนที่ตกค้าง นอกจากนี้ อยากจะส่งเสริมตลาดค้าส่งหรือค้าปลีกถ้ามีศักยภาพ อยากให้ใช้เทสต์คิทคัดกรองเบื้องต้น เพราะไม่เจอดีกว่าไม่ใช้เลย หรือหากไม่มีงบประมาณหรือค่าใช้จ่ายดำเนินการ อย่างน้อยการรับผักมาขอให้มีใบเซอร์หรือเอกสารรับรอง หรือผลตรวจวิเคราะห์อย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี เรียกจากคู่ค้าของเรา" ภญ.สุภาวดีกล่าว
ภญ.สุภาวดีกล่าวว่า การขับเคลื่อนลดการปนเปื้อนของผักและผลไม้ ปี 2567 มีการตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของอาหารและโรคที่เกิดจากอาหาร คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ บูรณาการร่วม 4 หน่วยงาน ได้แก่ อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิชาการเกษตร และ มกอช. อยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการ นอกจากนี้ มองว่าสิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ ฐานข้อมูล (Database) ที่จะระบุว่า เกษตรกรที่ได้มาตรฐานอยู่ตรงไหนที่จะช่วยให้จุดรวบรวมแทร็กถึงต้นทางได้ เพื่อที่จะง่ายต่อการซื้อ รวมถึงต้องเน้นย้ำเรื่องการเปลี่ยนมุมมองผู้บริโภคด้วย เพราะที่ผ่านมาส่วนหนึ่งเกิดปัญหาว่าทำแบบปลอดภัยแต่ขายไม่ได้เพราะอาจจะรูปลักษณ์ไม่สวย ก็ต้องสื่อสารว่าของดีและปลอดภัยไม่จำเป็นต้องสวย
นายโอฬาร พิทักษ์ ที่ปรึกษาสมาคมตลาดสดไทยและสมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย กล่าวว่า จริงๆ ตลาดก็อยากตรวจ แต่ก็มีคำถามว่าตรวจทำไม คุ้มไหม และแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ตลาดสดแทบแย่เพาะต้นทุนการตรวจเยอะ อีกทั้งไม่ใช่สินค้าของเขา และมาเร็วขายเร็วมาจากสารพัดแหล่ง จริงๆ มองว่าต้องให้ความสำคัญและเททรัพยากรให้ถูกจุด คือ จุดรวบรวมสินค้า เพราะประเทศไทยเป็นเกษตรกรรายย่อยทั้งหมด ผักผลไม้จึงเป็นสินค้าที่ต้องการจุดรวบรวม ถ้าไปพัฒนางานตรงจุดรวบรวม หลายหน่วยงานก็พร้อมเข้ามาช่วยกันตรงนี้ เหมือนอย่างล้งทุเรียนที่มีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานจะได้ส่งออกได้
นายสมเกียรติ สำพันแดง เจ้าของฟาร์ม สมเกียรติผักอร่อย กล่าวว่า อย่างฟาร์มของตนมีพื้นที่ 37 ไร่ ขึ้นทะเบียนเกษตรกรถูกต้อง ผ่านการรับรองผักปลอดภัยกว่า 60 ชนิดพืช หลีกเลี่ยงไม่ใช้สารเคมี ทำปุ๋ยหมักใช้เอง น้ำหมักขับไล่แมลง ก็มีเคสว่าก่อนที่จะได้ใบรับรองต้องผ่านการตรวจติดตามและเก็บตัวอย่างไปตรวจ ประมาณ 1 สัปดาห์แจ้งผลว่ากะเพราของเรามีการปนเปื้อนตกค้าง เมื่อตรวจสอบบันทึกข้อมูลย้อนหลังก็พบว่า ไม่มีการใช้สารเคมี แต่เมื่อตรวจสอบน้ำหมัก ซึ่งช่วงแรกๆ ยังไม่ได้ทำเอง แต่ไปมาจากเพื่อนบ้านก็พบว่า มีการใช้ข่า ตะไคร้ พริก เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าน่าจะปนเปื้อนมาจากพริกจากยาฆ่าแมลง ก็เป็นการใช้แบบไม่ตั้งใจ ส่วนเรื่องของจุดรวบรวมมองว่าเป็นหัวใจสำคัญ หลายหน่วยงานต้องช่วยเหลือ เกษตรกรก็ต้องให้ความร่วมมือ ซึ่งจุดรวบรวมจะมีมาตรฐานต่างๆ เข้ามาบังคับ เช่น ประกาศกระทรวงสาธารณสุข GMP CODEX หรือมาตรฐานของโมเดิร์นเทรด หากไม่ปลอดภัยเขาก็จะไม่รับซื้อขายไม่ได้ ก็ต้องคุยกับเกษตรกรที่จะมาขายว่าผลผลิตต้องมีมาตรฐานและปลอดภัย ถือเป็นตัวกลางสำคัญ