องค์การอนามัยโลก ออกโรงแนะไทย แก้ไขกฎหมายควบคุมน้ำเมา เน้นควบคุมโฆษณา-จำกัดการเข้าถึงทางกายภาพ ชี้เป็นเครื่องมือมีประสิทธิภาพ ปกป้องสุขภาพ คุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภัยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นพ.จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ยุทธศาสตร์โลกในการจัดการปัญหาจากบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขององค์การอนามัย (WHO Global Strategy to reduce Harmful Use of Alcohol) แนะนำ 10 ข้อเสนอแนะที่ได้ผล โดยเฉพาะมาตรการที่ได้ผลสูงในการลดการบริโภคและผลกระทบในประชากร ได้แก่ 1.ควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2.ควบคุมกิจกรรมการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3.นโยบายด้านภาษีและราคา ซึ่งประเทศต่าง ๆ ต้องดำเนินทุกมาตรการไปพร้อมกันทุกมิติ จึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ จากผลงานวิจัยศึกษาระยะยาว 21 ชิ้นจากทั่วโลก ยืนยันว่า การได้รับสื่อโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์กับการเริ่มต้นดื่มของเด็กและเยาวชน และการดื่มหนักมากขึ้นในกรณีเป็นนักดื่มอยู่แล้ว
“เด็กและเยาวชนเป็นประชากรกลุ่มอ่อนไหวต่อผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งจากการดื่มของผู้ใหญ่ การเข้าถึงจุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้ง่าย และการพบเห็นกิจกรรมการตลาดและการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลากหลายช่องทาง จะส่งผลต่อทัศนคติ การรับรู้ และความคาดหวังเชิงบวกต่อการดื่ม ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจเริ่มดื่ม การอยากทดลองดื่ม การเลือกที่จะดื่ม และยังส่งผลต่อทัศนคติของสังคมว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเรื่องธรรมดา” นพ.จอส กล่าว
นพ.จอส กล่าวว่า แนวปฏิบัติการควบคุมกิจกรรมการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะได้ผลดีที่สุดคือ การมีกฎหมาย ไม่ใช่การใช้หลักการควบคุมกันเองของธุรกิจ โดยควรมีการควบคุมทั้ง 1.เนื้อหาและปริมาณกิจกรรมการตลาด ควบคุมการตลาดทางตรงและทางอ้อมในสื่อทุกช่องทาง 2.ควบคุมการกิจกรรมการให้ทุนอุปถัมภ์ (sponsorship activities) ที่ส่งเสริมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำกัดหรือห้ามการส่งเสริมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกิจกรรมที่มีเยาวชนเป็นผู้เข้าร่วม 3.ควบคุมเทคนิคการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รูปแบบใหม่ เช่น การสื่อสารการตลาดใน social media
นพ.จอส กล่าวอีกว่า มาตรการควบคุมด้วยกฎหมายเหล่านี้ จะทำให้เด็กและเยาวชน ได้รับสื่อกิจกรรมการตลาด (exposure) ลดลงในภาพรวม ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันการเริ่มต้นดื่มของประชากรกลุ่มนี้ และยังช่วยลดปัจจัยกระตุ้นการดื่ม (reactivity) หรือความอยากดื่ม (craving) ของผู้ดื่มหรือผู้ติดสุราด้วย ที่สำคัญเป็นการป้องกันอิทธิพลของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อการปรับเปลี่ยนหรือชี้นำค่านิยมเชิงบวกทางสังคม ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างกว้างขวางทั้งในมิติด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคมโดยรวม
“เนื่องจากเด็กและเยาวชนอยู่บนพื้นที่และสภาพแวดล้อมทางกายภาพเดียวกันกับผู้ใหญ่ และยังเข้าถึงสื่อทางกายภาพและออนไลน์ได้ตลอดเวลา แนวปฏิบัติมาตรการควบคุมกิจกรรมการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่สามารถแยกกฎหมายควบคุมเฉพาะการตลาดที่มุ่งเป้าไปสู่เด็กได้ ดังนั้น การปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากโฆษณาและกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรเป็นมาตรการที่กำหนดสำหรับทุกช่องทางและเทคนิคกลยุทธ์การตลาด ควบคู่ไปกับมาตรการที่จำกัดการเข้าถึงทางกายภาพที่มีประสิทธิผลและระบบใบอนุญาตที่คำนึงถึงการกระจายของปัญหาจากการบริโภคร่วมด้วย” นพ.จอส กล่าว