สธ.เผยหญิงตั้งครรภ์ฝากท้องเพิ่มมากขึ้น ช่วยคัดกรองภาวะโลหิตจางธาลัสซีเมียเพิ่มขึ้น จากการขยายชุดสิทธิประโยชน์การคัดกรองหญิงท้องและสามี จัดสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติ เพิ่มองค์ความรู้เทคโนโลยี บริการป้องกันและควบคุมโรค ส่งเสริมเด็กไทยเกิดดีมีคุณภาพ
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ พลเรือโท นพ.นิกร เพชรวีระกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานงานสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติ ครั้งที่ 25 ว่า สธ.โดยกรมอนามัยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ จัดงานสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติในครั้งนี้ ร่วมกับกรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย ซึ่งโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางตั้งแต่กำเนิดและเป็นเรื้อรังไปตลอดชีวิต มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ระดับรุนแรงน้อย จนถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่มีการควบคุมและป้องกันโรค จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย จากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้
“องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 8 พ.ค.ของทุกปี เป็นวันธาลัสซีเมียโลก (World Thalassemia Day) เพื่อรณรงค์และกระตุ้นให้ทุกประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญในการป้องกันโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังบุตรได้ โดยในปี 2537 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดทำแนวทางในการควบคุมโรคที่เกิดจากความผิดปกติของฮีโมโกลบิน รวมถึงโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ทำให้ประเทศไทยโดย สธ.จัดทำโครงการป้องกันและควบคุมโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในหญิงตั้งครรภ์ ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา" พลเรือโท นพ.นิกรกล่าว
พลเรือโท นพ.นิกรกล่าวว่า จากสถานการณ์ประเทศไทยประสบปัญหาการเด็กเกิดน้อย โดยในปีที่ผ่านมามีจำนวนการเกิดต่ำกว่า 5 แสนราย ดังนั้น ทุกการเกิดต้องมีคุณภาพ ที่เกิดจากการวางแผนและเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้ทุกการเกิดสมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากความพิการแต่กำเนิด โดยเฉพาะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง และในปี 2567 รัฐบาล โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. ได้ประกาศนโยบายส่งเสริมการมีบุตร ที่มีคุณภาพให้หน่วยบริการ ได้จัดให้มีการส่งเสริม สนับสนุนการบริการอนามัยแม่และเด็ก รวมถึงการคัดกรองโรคต่าง ๆ ตามมาตรฐาน
นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัญหาการเกิดน้อยของประเทศไทยเกิดจากหลายปัจจัย เช่น แนวโน้มการใช้ชีวิตอยู่เป็นโสดมากขึ้น แต่งงานช้า ชะลอการมีบุตร หญิงตั้งครรภ์ และครอบครัวขาดความรู้ในการดูแลตนเองทั้งในระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว กรมอนามัยจึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2569) ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยมีนโยบายว่า รัฐบาลสนับสนุนและส่งเสริมการเกิดเพิ่มขึ้นด้วยความสมัครใจ เพื่อเพียงพอสำหรับทดแทนประชากร และการเกิดทุกรายมีการวางแผนมีความตั้งใจและมีความพร้อมในทุกด้าน นําไปสู่การคลอดที่ปลอดภัย ทารกแรกเกิดมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์งานอนามัยแม่และเด็กจากอดีตจนถึงปัจจุบันมีแนวโน้มดีขึ้น โดยข้อมูลจากกองบริหารสาธารณสุข ปี 2566 พบว่า หญิงตั้งครรภ์ฝากครรภ์ครั้งแรก เมื่ออายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 12 สัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 75.05 หญิงหลังคลอดได้รับการดูแลครบ 3 ครั้ง ตามเกณฑ์ร้อยละ 64.27 จากการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขที่มากขึ้นของหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งการสื่อสารให้ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ที่สำคัญ สธ.ได้มีนโยบายแนวทางการควบคุมและป้องกันโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โดยบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของหญิงตั้งครรภ์ให้มีการคัดกรองในหญิงตั้งครรภ์ และสามีที่มาฝากครรภ์ทุกราย ส่งผลให้พบหญิงตั้งครรภ์มีภาวะโลหิตจางเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 29.45 ในปี 2565 เป็นร้อยละ 30.89 ในปี 2566 ทั้งนี้ จากสิทธิประโยชน์ดังกล่าว กรณีที่มีการวินิจฉัยว่าทารกเสี่ยงเป็นโรคธาลัสซีเมีย สามารถวินิจฉัยและรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพ ตั้งแต่การยุติการตั้งครรภ์ การให้เลือด การให้ยาขับธาตุเหล็ก การปลูกถ่ายไขกระดูก เป็นต้น