กรมควบคุมโรคออกประกาศเตือน 5 โรค 2 ภัย ช่วง "ฤดูร้อน" ห่วงโรคทางเดินอาหารและน้ำแพร่ระบาดได้ง่าย เหตุเชื้อเติบโตดี อาหารบูดเสียง่าย เกิดได้ทั้งโรอาหารเป็นพิษ อหวิตกโรค อุจจาระร่วงเฉียบพลัน ไวรัสตับอักเสบ เอ และไข้รากสาดน้อย ส่วน 2 ภัยสุขภาพระวังป่วยตาจากอากาศร้อน ปีก่อนเจอ 47 ราย และจมน้ำดับ
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ลงนามเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2567 ออกประกาศกรมควบคุมโรค เรื่อง การป้องกันโรคและภัยสุขภาพ ที่เกิดในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย พ.ศ. 2567 โดยประกาศระบุว่า ปี 2567 ฤดูร้อนของประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ.ไปจนถึงกลางเดือน พ.ค. อากาศที่ร้อนและแห้งแล้งเหล่านี้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในน้ำและอาหาร ปกติโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำสามารถเกิดได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูร้อนที่มีสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ซึ่งส่งผลให้อาหารบูดเสียง่าย รวมถึงความแห้งแล้งอาจทำให้เกิดสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดโรคติดต่อต่างๆ และภัยสุขภาพได้
กรมควบคุมโรคในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทภารกิจเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยที่คุกคามทางสุขภาพ มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน จึงขอให้ประชาชนดูแลร่างกายและสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสเจ็บป่วยด้วยโรคและภัยสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน ดังนี้
1.โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ ได้แก่ โรคอาหารเป็นพิษ โรคอหิวาตกโรค โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคไวรัสตับอักเสบ เอ และไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย และ 2.ภัยสุขภาพ ได้แก่ การเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อน และการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจมน้ำ
ด้าน พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำที่สำคัญในช่วงฤดูร้อนทั้ง 5 โรคตามประกาศนั้น ได้แก่ 1.โรคอาหารเป็นพิษ เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อก่อโรค ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาจมีถ่ายเหลว อาการมักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหลังรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน
2.โรคอหิวาตกโรค เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนหรือพิษของเชื้อปะปนอยู่ ผู้ป่วยจะท้องเสียอย่างมาก อาเจียน เป็นตะคริว ขาดน้ำอย่างรุนแรงจนช็อก และอาจเสียชีวิตได้
3.โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน พบได้ในทุกกลุ่มวัย เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อก่อโรคอื่นๆ ที่เป็นได้ทั้ง เชื้อไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว หรือหนอนพยาธิ ซึ่งอาจเกิดภาวะขาดน้ำ และเกลือแร่ ได้จากน้อยถึงรุนแรงมาก
4.โรคไวรัสตับอักเสบ เอ ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสที่มาจากอุจจาระของผู้ที่ติดเชื้อ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการตั้งแต่น้อยจนถึงรุนแรงมาก อาจทำให้เกิดตับอักเสบแบบเฉียบพลันได้ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่จะแสดงอาการมากกว่าในเด็ก
5.ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย ติดต่อผ่านการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผักสด ผลไม้ที่รับประทานทั้งเปลือก น้ำดื่มที่ไม่สะอาด ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยมากกว่า 1 สัปดาห์ ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องอืด หรือท้องผูก ในบางรายอาจมีถ่ายเหลว หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้
สำหรับแนวทางการป้องกันโรคทางเดินอาหารและน้ำ ได้แก่ “กินสุก ร้อน สะอาด” กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ใช้ช้อนกลางตักกับข้าวใส่จาน และล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งก่อนประกอบอาหาร รับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้ ต้องดื่มน้ำที่สะอาด น้ำต้มสุก หรือน้ำที่บรรจุในขวดที่มีฝาปิดสนิท
พญ.จุไร กล่าวว่า ส่วนภัยสุขภาพในหน้าร้อน 2 ภัยสุขภาพ คือ 1.การเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อน ทั้งจากการทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งที่อยู่ในอาคารและนอกอาคาร โดยในปีที่แล้ว ตั้งแต่ มี.ค. - พ.ค. 2566 ได้รับรายงานการเจ็บป่วยและเสียชีวิตรวม 47 ราย แบ่งเป็นรายงานผู้ป่วย 10 ราย และผู้เสียชีวิต 37 ราย โดยพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน การดื่มสุรา ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย ทำงาน หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน ไม่ออกแรงหนักเกินไปในวันที่มีอากาศร้อน จิบน้ำบ่อยๆ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว สวมเสื้อผ้าที่ไม่อึดอัด สีอ่อน ระบายความร้อนได้ดี
2.การบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากการจมน้ำ ซึ่งการจมน้ำยังคงมีความเสี่ยงสูงเหมือนทุกปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ำสูงที่สุด เฉลี่ยประมาณเกือบ 200 คน ซึ่งเป็นการเสียชีวิตมากกว่า 1 ใน 3 ของการจมน้ำตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่เกิดจากเด็กชวนกันไปเล่นน้ำ ขาดความรู้เรื่องกฎความปลอดภัยทางน้ำ ทักษะการเอาชีวิตรอด และวิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำ จมน้ำที่ถูกต้อง รวมไปถึงผู้ปกครองอาจไม่ได้ดูแลอย่างใกล้ชิด จึงขอความร่วมมือผู้ปกครองดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดถ้าจำเป็นต้องไปใกล้แหล่งน้ำ ควรมีอุปกรณ์ป้องกันการจมน้ำเช่นสวมเสื้อชูชีพ หรือ อุปกรณ์ ช่วยลอยน้ำอย่างง่าย เช่นถังแกลลอนพลาสติกเปล่า ผูกเชือกสะพายแล่งไว้กับตัวตลอดเวลา เป็นต้นและขอให้ผู้ใหญ่ในชุมชนตระหนักถึงความปลอดภัยของแหล่งน้ำในชุมชน และควรมีป้ายเตือน ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิต