ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่
คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในระยะระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดการระบาดโควิด นอกจากผู้ที่เสียชีวิตจากโควิดโดยตรงแล้ว ยังมีรายงาน ผลข้างเคียงของวัคซีน จนกระทั่งแท้จริงแล้ว มีการเสียชีวิตอย่างมากด้วย
รายงานเหล่านี้ ทั้งจากประชาชน จากแพทย์ผู้ดูแลผู้ป่วย ถูกมองข้าม ทั้งนี้ ด้วยหลักการ และความเชื่อที่ว่าวัคซีนช่วยป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ จนกระทั่งแม้ว่าติดก็จะมีอาการไม่มากและป้องกันการเสียชีวิตได้จนถึงป้องกันการเกิดลองโควิด และการที่เจ็บป่วยหรือมีการเสียชีวิตจากวัคซีนนั้น มีปริมาณสัดส่วนน้อยมากกับประโยชน์ของวัคซีนที่ให้ทั้งโลก
แม้ในระยะต่อมา มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ และการแพทย์ ซึ่งให้ข้อมูลอีกด้าน กลับถูกมองไปว่า เป็นกลุ่มต่อต้านวัคซีน โดยไม่ได้พิจารณาถึงข้อมูลและหลักฐานให้ชัดเจน และประการสำคัญก็คือในผู้เสียชีวิตนั้นไม่ได้รับการชันสูตรศพจึงไม่สามารถหาความเชื่อมโยงได้ชัดเจน
รายงานนี้ มีคณะทำงาน ประกอบไปด้วยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน จาก เยล จากสถาบันมะเร็ง (Cross cancer institute) แคนาดา องค์กรอิสระจากสหรัฐ ได้ร่วมกันวิเคราะห์และรายงานในคลังฐานข้อมูล Zenodo ที่ดำเนินการภายใต้สหภาพยุโรป โปรแกรม openAIRE และองค์กร CERN (European Organization for Nuclear Research) เพื่อส่งเสริมทางเชื่อมโยงการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ อย่างยั่งยืน
รายงานนี้ รวบรวมการศึกษา ที่มีรายงานมาล่วงหน้าจนกระทั่งถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2023 ที่เกี่ยวข้องกับการได้รับวัคซีนโควิดและตาย
หลังจากที่มีการกลั่นกรองข้อมูลทั้งหมดจาก 678 รายการ พบว่ามี 44 รายงาน ที่มีการวินิจฉัย โดยมีการชันสูตรศพด้วย โดยมี 325 รายและอีกหนึ่งราย เป็นการพิสูจน์ชิ้นเนื้อ
โดยจุดประสงค์เพื่อที่จะให้หลักฐานว่า วัคซีนโควิดเป็นสาเหตุตรงหรือเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เสียชีวิต และเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่วงการแพทย์เพื่อให้เข้าใจในลักษณะอาการหรือกลุ่มอาการที่วัคซีนโควิดก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงได้
ระบบที่เสียหายและเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิดจนถึงเสียชีวิตนั้น ประกอบไปด้วย ระบบหัวใจและหลอดเลือด 53% ระบบทางโลหิตวิทยา 17% ระบบทางเดินหายใจ 8% และมีหลายระบบเสียหายร่วมกัน 7% ทั้งนี้ 21 รายในจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าวมีอวัยวะที่ได้รับผลกระทบสามระบบหรือมากกว่า
โดยที่ 302 รายเกิดจากระบบอวัยวะเดียว สามรายเกิดจากสองระบบ แปดรายเกิดขึ้นในสามระบบและ 13 รายเกิดขึ้นในสี่ระบบหรือมากกว่า
ระยะเวลาจากที่ได้รับวัคซีนจนกระทั่งเสียชีวิตโดยเฉลี่ย 14.3 วัน และผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในเจ็ดวันหลังจากที่ได้รับวัคซีน
240 รายหรือ 73.9% ได้มีการพิจารณาจากหลักฐานต่างๆ ว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิดจาก ความสัมพันธ์กับเงื่อนไขเวลา ความเป็นไปได้ในการอธิบายจากกลไกทางการกำเนิดพยาธิสภาพ และลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นซ้ำๆกันในหลายรายงาน เป็นต้น
ประเด็นจากรายงานนี้ ควรจะได้รับการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถประเมิน ไม่ใช่แต่ประโยชน์หรือประสิทธิภาพของวัคซีนแต่ต้องเป็นความปลอดภัยสูงสุด ของวัคซีน และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะมีการบังคับฉีดวัคซีนในแทบทุกอายุ และมีกลไกในการเซ็นเซอร์ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงของวัคซีน ดังที่มีการสอบสวนในรัฐสภาสหรัฐในขณะนี้ ที่เปิดโปงหน่วยงานของรัฐ และบริษัทที่มีอิทธิพล ต่อสื่อ รวมกระทั่งถึงมีโปรแกรม AI ที่พัฒนา จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐและนำมาใช้ตรวจตรา ตรวจสอบ บทความข้อมูลและในสื่อ เพื่อที่จะตอบโต้และดิสเครดิตทั้งหมด และมีการยอมรับจากการสอบสวน จากการที่มีกฎหมายความโปร่งใสของข้อมูลมากำกับ
จากผู้เสียชีวิตทั้งหมด ที่มีการชันสูตรศพทั้งร่าง 325 ราย และชิ้นเนื้อหัวใจ 1 ราย เป็นหญิง 139 ราย (42.6%) อายุโดยเฉลี่ย 70.4 ปี 41% ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ 37% ได้รับวัคซีนชิโนแวค 13% แอสตร้าเซนเนกา 7% โมเดอร์นา 1% Johnson and Johnson และอีก 1% ชิโนฟาร์ม
รายงานนี้สอดคล้องกับหลายรายงานที่มีการศึกษาการเสียชีวิตที่มากขึ้นอย่างผิดปกติหลังจากได้รับวัคซีน
Pantazatos และ Seligmann พบว่าการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น (increased mortality) ผิดปกติและน่าจะเกี่ยวเนื่องกับวัคซีน ภายในห้าสัปดาห์หลังได้รับวัคซีน ในทุกกลุ่มอายุ เป็นจำนวน 146,000 ถึง 187,000 ในสหรัฐอเมริกา ระหว่างกุมภาพันธ์ถึงสิงหาคมปี 2021
Skidmore ประเมินว่าประมาณ 278,000 รายอาจจะเสียชีวิตจากโควิดวัคซีนในสหรัฐเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2021
Aarstad และ Kvitastein ได้ทำการศึกษาประเทศในยุโรป 31 ประเทศด้วยกันและพบว่าประเทศใดที่มีการฉีดวัคซีนโควิดมากในปี 2021 จะมีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2022 หลังจากที่ได้มีการตัดสาเหตุอย่างอื่นออก รวมทั้งมีรายงานในลักษณะนี้ขนาดใหญ่อีกหลายรายงานด้วยกัน
Pantazatos ได้ทำการวิเคราะห์และประเมินว่าสาเหตุการตายจากวัคซีนที่รายงานเข้าใน ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ของสหรัฐอาจจะต่ำกว่าความเป็นจริงไม่ต่ำกว่า 20 เท่า
ดังนั้นการเสียชีวิตจากวัคซีนที่มีการรายงานจากระบบของสหรัฐ จนกระทั่งถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2023 อาจจะสูงถึง 706,480 รายจากตัวเลขที่รายงาน 35,324 ราย
กลไก ที่อธิบายอันตรายที่เกิดจาก modified mRNA วัคซีน จากรายงานทางวิทยาศาสตร์ พบว่าโปรตีนหนาม (spike protein) ไม่ได้กองอยู่ที่ตำแหน่งที่ฉีดที่แขน แต่ล่องลอยในกระแสเลือดได้นานถึงหนึ่งเดือน
รวมทั้งพบได้ในอวัยวะของคนที่หัวใจวายหรือมีการตายโดยกะทันหัน ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนหลังจากที่ฉีดวัคซีน และการที่เป็นอนุภาคนาโนไขมัน ทำให้สามารถซึมเข้าเซลล์ได้ทุกระบบทุก อวัยวะและในเส้นเลือด และบังคับให้เซลล์สร้างโปรตีนหนามอย่างต่อเนื่อง โดยที่คนที่มีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีนจะพบว่ามีโปรตีนหนามล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด และในเนื้อเยื่อหัวใจ และไม่ได้อธิบายจากการที่วัคซีนไปกระทบกับตัวรับ ACE2 ที่ เบี่ยงเบนไปทางด้านการอักเสบเท่านั้น อย่างที่เข้าใจกันตอนแรก
ซึ่งแม้แต่กลไกดังกล่าวอย่างเดียว ก็ทำให้มีการอักเสบในร่างกายในเลือดอย่างต่อเนื่องได้แล้ว และทำให้หลอดเลือดเกร็งตีบจนกระทั่งถึงตันหรือผนังหลอดเลือดรั่ว
จากการที่มีการพัฒนาวัคซีน mRNA และกระบวนการผลิตวัคซีน ที่มีการปรับเปลี่ยนกรดนิวคลีโอไทด์ เพื่อให้เสถียรขึ้นและคงทนได้จากการถูกทำลายจากระบบภูมิคุ้มกัน
แต่ปรากฏว่า มีการแปลรหัสผิด มีการตกหล่นของ mRNA ไปหนึ่งถึงสองตัว แต่ก็มากพอที่จะทำให้เกิดการบังคับให้ผลิตโปรตีนที่ไม่ต้องการ (aberrant protein) แทนที่จะเป็นโปรตีนหนาม โดยกระบวนการนี้ เรียกว่า frameshift และโปรตีนที่แปรเปลี่ยนไปนี้ สามารถที่จะมีลักษณะคล้ายกับโปรตีน ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ และสามารถทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเองจนกระทั่งถึงมะเร็ง ดังที่มี การรายงานในวารสารเนเจอร์ในเดือนธันวาคม 2023 และอีกทั้งยังมีการปนเปื้อนในวัคซีน modified mRNA นี้ ด้วย DNA ยีน SV40 enhancer และ ori ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในกระบวนการเพิ่มปริมาณ DNA ของ spike ซึ่งทำให้มีโอกาสที่จะแทรกเข้าไปในเซลล์มนุษย์และสั่งให้สร้างโปรตีนที่ผิดรูปแบบและทำให้เกิดโรคต่างๆ ในระยะหลังจากที่ได้รับวัคซีนไป และ กลไกต่างๆนี้สามารถทำให้กระบวนการขจัดโปรตีนพิษบิดเกลียวผิดเพี้ยน
ซึ่งปกติแล้ว เซลล์ในร่างกายมีกลไกที่จะคลี่เกลียวออก เป็นโปรตีนที่นำมาใช้ใหม่หรือถ้าทำไม่สำเร็จก็ต้องขจัดออกไปให้หมด โดยที่ถ้ามีการสะสมของโปรตีนพิษเหล่านี้จะทำให้เซลล์ตายและถ้าเป็นในสมองจะเกิดสมองเสื่อม
ในส่วนของระบบภูมิคุ้มกันเองนั้น เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันสามารถที่จะยอมรับอนุภาคนาโนไขมันเหล่านี้และปล่อยกลับเข้าไปในกระแสเลือด ในรูปของ Exosome ที่มีจำนวนมากขึ้น โดยที่ในอนุภาคนั้นจะประกอบไปด้วยโปรตีนหนาม และ microRNAs ที่สามารถล่องลอยไปยังอวัยวะที่ห่างไกลและสามารถกระตุ้นสัญญาณทำให้เกิดมีการอักเสบที่อาจจะเกิดเด่นในระบบเดียวหรือในหลายระบบพร้อมกัน และเกิดการเบี่ยงเบนจนเกิดมะเร็ง การอักเสบไม่รู้จบ การแพ้ภูมิตนเอง โรคหัวใจ
การเกิดมะเร็งจาก mRNA วัคซีนที่ปรับแต่งนี้ยังสามารถอธิบายได้จากการที่มีการยับยั้ง IRF7 และ 9 อีกด้วย รวมทั้งการอักเสบ
และเป็นส่วนที่ควรจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการตายที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ โดยอธิบายไม่ได้
รายงานรายละเอียดของวิธีการวินิจฉัย ทั้งหมดของทุกราย สามารถดูได้จาก supplemental table โดยที่ผู้ตาย แม้ว่าจะมีอายุเฉลี่ยค่อนข้างสูงคือ 70 ปี แต่มีอายุตั้งแต่ 14 รวมระหว่าง ช่วง 20 ถึง 30 และตั้งแต่ 30 ถึง 50 และอายุมากกว่านั้น
จุดมุ่งหมายของวัคซีนอยู่ที่การป้องกันโรคและช่วยชีวิตเป็นสำคัญ ไม่ใช่ ก่อให้เกิดโรคและตายในคนแข็งแรงและคนที่เปราะบาง