สธ.เผยไฟไหม้โกดังสารเคมี "อยุธยา" ไม่พบเจ็บตาย ไม่มีป่วยรุนแรง แต่มีอาการหายใจไม่สะดวก กลิ่นเหม็นรำคาญ ในระยะ 500 เมตร ให้การดูแลแล้ว ตรวจคุณภาพอากาศในบ้านและแหล่งน้ำ มีความปลอดภัย กรมอนามัยเร่งตรวจเหตุไฟไหม้โรงงานขยะรีไซเคิล "อุบลราชธานี" ชี้ทั้ง 2 แห่งไร้ใบประกอบกิจการ จี้ท้องถิ่นเข้ม
เมื่อวันที่ 2 มี.ค. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดูแลผลทางกระทบสุขภาพจากเหตุการณ์ไฟไหม้โกดังเก็บกากอุตสาหกรรม หมู่ 2 ต.ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อคืนวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า ได้รับรายงานความคืบหน้าจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า เบื้องต้นโกดังเก็บสารเคมีกากอุตสาหกรรม มีทั้งสิ้น 5 โกดัง ภายในมีถังบรรจุสารเคมีจำนวนมาก ภายนอกเป็นบ่อพักน้ำเสียขนาดใหญ่สีน้ำตาลเข้มกลิ่นคล้ายสารเคมี พื้นที่รอบโกดังในรัศมี 1 กิโลเมตร มี รพ.ชุมชน 1 แห่ง โรงเรียน 7 แห่ง ศูนย์เด็กเล็ก 3 แห่ง และวัด 10 แห่ง
จากการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชน โดยสอบถามผู้ได้รับผลกระทบรวม 30 หลังคาเรือน ในระยะจุดเกิดเหตุ - 3 กิโลเมตร พบว่า ในระยะไม่เกิน 500 เมตร มีผู้ได้รับผลกระทบ 87 ราย จำนวน 25 หลังคาเรือน ในระยะ 1-3 กิโลเมตร มีผู้ได้รับผลกระทบ 8 ราย จำนวน 5 หลังคาเรือน ส่วนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่มีทั้งหมด 19 ราย เป็นเด็กเล็ก 8 ราย ผู้สูงอายุ 11 ราย ไม่พบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต รวมทั้งไม่พบประชาชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรง มีเพียงอาการที่เกิดจากการได้รับควันไฟและกลิ่นเหม็นสารเคมี ทำให้หายใจไม่สะดวก รู้สึกรำคาญ และมีเถ้าเขม่าฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้ให้การดูแลและจัดระบบส่งต่อผู้ป่วยหรือผู้มีอาการแล้ว
นพ.โอภาสกล่าวว่า ส่วนผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชนโดยรอบ ทีมปฏิบัติการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม (ทีม SEhRT) ของกรมอนามัยและศูนย์อนามัยที่ 4 ได้ลงพื้นที่ร่วมกับ สสจ.พระนครศรีอยุธยา สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจวัดคุณภาพอากาศเบื้องต้นในบ้านประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อหาการปนเปื้อนสารพิษ พบค่าระดับสารอินทรีย์ระเหยง่ายแบบรวมประมาณ 1.09 ppm ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ, การตรวจวัดคุณภาพน้ำเบื้องต้นจากค่าความเป็นกรด-ด่าง ในแหล่งน้ำสาธารณะใกล้โกดัง พบค่า pH ประมาณ 7.5 คือมีความปลอดภัย ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะ น้ำใช้ประชาชน น้ำทิ้งจากโรงงาน เพื่อเชื่อมโยงกับการปนเปื้อนสารเคมีของโกดัง ซึ่งอยู่ระหว่างส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ จะใช้เวลาประมาณ 7 วัน แต่จากการเดินสำรวจโดยรอบไม่พบการปล่อยน้ำเสีย หรือสารเคมีออกจากพื้นที่โกดัง
ทั้งนี้ โกดังที่เกิดเหตุไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเกี่ยวกับสารเคมี ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 จากหน่วยงานราชการท้องถิ่น และไม่พบใบอนุญาตประกอบกิจการลักษณะคล้ายคลึงกันจากหน่วยงานอื่น
นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทีม SEhRT กรมอนามัย ได้ให้คำแนะนำสำหรับประชาชนในการดูแล ป้องกันตนเอง รวมทั้งสังเกตอาการคนที่อยู่ใกล้ชิด หากพบอาการรุนแรง หรือมีความผิดปกติจากการสูดกลิ่นเหม็นสารเคมี ควันไฟ ให้รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อพบแพทย์ทันที และขอให้รับฟังการแจ้งเตือนภัยจากเจ้าหน้าที่ ในกรณีการเกิดภัยพิบัติอื่น ๆ จะได้เอาตัวรอด ปลอดภัย ทันเหตุการณ์
สำหรับโกดังที่เกิดเหตุไฟไหม้ พบว่า ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่ได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งทีมจังหวัดจะตรวจสอบและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ในช่วงเวลาเดียวกัน เกิดเหตุไฟไหม้ที่โรงงานขยะรีไซเคิล จ.อุบลราชธานี กรมอนามัย จึงมอบหมายทีม SEhRT ศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินความเสี่ยงสุขภาพประชาชนโดยเร่งด่วน พบว่า บริเวณรอบโรงงานเป็นพื้นที่โล่งกว้าง มีบ้านเรือนประชาชนเพียง 3 หลังคาเรือน และจากการสอบถามประชาชนยังไม่มีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้ ไม่มีแหล่งน้ำสาธารณะ จึงไม่การปนเปื้อนของสารเคมีลงในแหล่งน้ำสาธารณะ การตรวจวัดสารพิษปนเปื้อนในอากาศ พบว่า มีค่าอยู่ในระดับปลอดภัย ไม่ส่งผลต่อสุขภาพ ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข
ทีม SEhRT จึงร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เสนอแนวทางเพื่อป้องกันความเสี่ยงการเกิดเหตุไฟไหม้อีกครั้ง ดังนี้ 1) ผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออกข้อกำหนดท้องถิ่น เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตาม พ.ร.บ. การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เพื่อสามารถควบคุม กำกับ การประกอบกิจการของสถานประกอบการให้ได้มาตรฐาน ไม่ก่อให้เกิดเสี่ยงต่อสุขภาพ และทำให้ประชาชนมีความมั่นใจในการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัย
2) แนะนำให้ผู้ประกอบการ ปรับปรุงแก้ไขอาคาร และสถานที่ประกอบการให้ถูกสุขลักษณะ จัดเก็บขยะรีไซเคิลให้เป็นหมวดหมู่ แยกขยะประเภทที่ติดไฟง่ายออกห่างจากแหล่งกำเนิดความร้อน หรือประกายไฟและต้องกำหนดมาตรการความปลอดภัย เช่น ติดตั้งถังดับเพลิง หรือ สเปรย์น้ำ ติดป้ายเตือนห้ามสูบบุหรี่หรือจุดไฟ ในบริเวณเก็บขยะรีไซเคิล แจ้งลูกจ้าง คนงานให้ถือปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และ 3) หน่วยงานในพื้นที่ ต้องบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมกันผลักดันให้สถานประกอบการรับซื้อของเก่า เป็นประเด็นความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ต้องได้รับการควบคุม กำกับเพื่อลดความเสี่ยงแก่ประชาชนอย่างเร่งด่วน
“จากเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินทั้ง 2 กรณี เกิดจากสถานประกอบการ โรงงาน หรือสถานที่ที่ประกอบกิจการ ที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ ตั้งกระจายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในแหล่งชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่กรมอนามัย จึงขอความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจ ตรวจสอบ สถานประกอบการและสถานที่เสี่ยง รวมทั้งจัดทำข้อมูลเพื่อการป้องกันภัยพิบัติซ้ำ ทั้งนี้ ขอให้ประเมินความเสี่ยงตั้งแต่กระบวนการผลิต การเก็บสะสมวัสดุอุปกรณ์ หรือสารเคมีอันตราย รวมทั้งให้มีการจัดระบบความปลอดภัยในอาคารอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อเป็นการป้องกัน และลดความเสี่ยงการเกิดเหตการณ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชนในอนาคต” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว