xs
xsm
sm
md
lg

ป่วยเอชไอวีใหม่ 9 พันกว่าราย 50% เป็นเยาวชน ซ้ำ "ตีตราตนเอง" เกือบครึ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พบคนไทยยังตีตรา "ผู้ติดเชื้อเอชไอวี" 28.9% เยาวชนตีตราตนเองสูงเกือบ 50% ถูกละเมิดสิทธิ 7.5% ทั้งเข้าเรียน รับทุนศึกษา สมัครงาน เผยผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ลดลงเหลือ 9,230 คน แต่เป็นเยาวชนเกือบครึ่ง เปิดแคมเปญลดตีตรา 1 มี.ค. ครบรอบ 10 ปีวันยุติการเลือกปฏิบัติสากล

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. นพ.นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเปิดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันยุติการเลือกปฏิบัติสากล (Zero Discrimination Day) โดยมีผู้แทนเยาวชนภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ร่วมแสดงพลังคนรุ่นใหม่ “เยาวชน…ผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อสังคมไม่เลือกปฏิบัติ”ว่า ตนเคยเป็นแพทย์ผ่าตัด ที่ผ่านมาจะพบเคสผู้ป่วยเอชไอวีตลอด แต่หลังๆ ไม่ค่อยพบแล้ว เป็นผลมาจากการดำเนินการรณรงค์ป้องกันการติดเชื้อ จากปี 2535 อุบัติการณ์ปีละ 1.6 แสนราย วันนี้เหลือ 9 พันกว่าราย คาดหวังว่าปี 2573 จะยุติเอดส์ โดยมีเป้าหมายให้เคสใหม่ต้องน้อยกว่า 1,000 ราย ที่สำคัญคือเยาวชน


ทั้งนี้ ประเทศไทยมุ่งยุติปัญหาเอดส์ โดยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ ปี พ.ศ. 2560 – 2573 โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ หนึ่งในเป้าหมายหลักคือ ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติ ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 10 จากผลสํารวจสถานการณ์เด็กและสตรี ประเทศไทย ปี 2565 พบว่า ประชาชนมีทัศนคติเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีถึงร้อยละ 27.9 จากการคาดประมาณสถานการณ์เอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย ปี 2565 คาดว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 9,230 คน เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี จำนวน 4,379 คน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด

นอกจากนี้ ผลการสำรวจดัชนี ตีตราและเลือกปฏิบัติในผู้ติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทยปี 2566 พบว่า เยาวชนอายุ 18-24 ปี มีการตีตราตนเอง สูงถึงร้อยละ 49.3 ถูกละเมิดสิทธิร้อยละ 7.5 และถูกเลือกปฏิบัติในชุมชนร้อยละ 9 จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่า การตีตราและเลือกปฏิบัติยังมีอยู่ในสังคม ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการยุติปัญหาเอดส์ในไทย เนื่องจากการตีตราและเลือกปฏิบัติ รวมทั้งละเมิดสิทธิด้านต่างๆ ส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงและผู้ติดเชื้อเอชไอวี หลีกเลี่ยงหรือลังเลในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และอาจขาดโอกาสรับบริการป้องกัน ตรวจหาการติดเชื้อ และดูแลรักษาที่ถูกต้องต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต


เพื่อให้การดำเนินงานมุ่งสู่เป้าหมายโดยเร็ว กรมควบคุมโรคร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนการดำเนินงาน ดังนี้ 1.สนับสนุนการยกเลิกกฎหมาย นโยบายและข้อจำกัดทางสังคมที่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการด้านเอชไอวี สุขภาวะทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน 2.พัฒนาระบบข้อมูลและกลไกการรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองการละเมิดสิทธิด้านเอดส์ ด้วยเว็บแอป “สวัสดีปกป้อง” ระบบจัดการปัญหาการ ถูกละเมิดสิทธิและการให้ความช่วยเหลือที่สะดวก เข้าถึงง่าย 3.รณรงค์สร้างความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่ ใช้สื่อโซเซียลมีเดีย เป็นพลังในการขับเคลื่อนแนวคิดของคนในสังคมให้เห็นว่าเอชไอวี อยู่ร่วมกันได้ ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติ

4.พัฒนาระบบบริการสุขภาพที่เป็นมิตรต่อเยาวชนที่มีเอชไอวี โดยการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการจัดบริการสุขภาพ และ 5.พัฒนาศักยภาพเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตีตราและเลือกปฏิบัติ โดยจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ E-learning แก่นักศึกษาแพทย์และนักศึกษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นผู้ให้บริการทางสุขภาพในอนาคต สามารถนำความรู้ไปใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตีตราและการเลือกปฏิบัติในสถานบริการสุขภาพ


"ขอเชิญชวนทุกคนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงและสร้างกระแสสังคม โดยรณรงค์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย สานพลังเยาวชนคนรุ่นใหม่ ยุติการเลือกปฏิบัติ ยุติเอดส์ประเทศไทย พร้อมติดแฮชแท็ก #ทุกคนเท่ากัน #ไม่เลือกปฏิบัติ #changeforall เพื่อสร้างกระแสสังคมให้ทุกคน ทุกภาคส่วน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติ สร้างความเข้าใจ สร้างความตระหนักว่าเอชไอวีหรือเอดส์สามารถอยู่ร่วมกันได้ และมีความเท่าเทียม เพื่อให้เกิดสังคมที่ไม่เลือกปฏิบัติ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ติดเชื้อเอชไอวี และมุ่งสู่เป้าหมายการยุติเอดส์ภายในปี 2573 สอดคล้องกับแนวคิดสากล “To protect everyone’s health, protect everyone’s rights : ปกป้องสิทธิ เพื่อปกป้องสุขภาพของทุกคน” นพ.นิติกล่าว

พญ.ชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์ ผอ.กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ไทยได้แสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 หนึ่งในเป้าหมายหลัก คือ ลดการรังเกียจและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะให้เหลือไม่เกิน 10% ปัจจุบันพบว่าเกือบ 1 ใน 3 ของประชาชนไทยยังมีทัศนคติที่เลือกปฏิบัติ และพบว่าเยาวชนที่อยู่ร่วมกับเอชไอถูกเลือกปฏิบัติจากการรรับบริการด้านสุขภาพและชุมชน รวมทั้งยังถูกละเมิดสิทธิเข้าเรียนหรือรับทุนการศึกษาหรือสมัครงาน และเกือบครึ่งหนึ่งของเยาวชนมีการตีตราตนเอง เป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เหมาะสมของประชาชน ดังนั้น การสร้างความเข้าใจและสานพลังจากทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อยุติดการเลือกปฏิบัติและปกป้องสิทธิของประชาชนเป็นทางที่จะช่วยปกป้องสุขภาพของทุกคนและนำไปสู่การยุติเอดส์ได้


“วันที่ 1 มีนาคม เป็นวันครบรอบ 10 ปีของวันยุติการเลือกปฏิบัติสากล กรมควบคุมโรค ศูนย์ความร่วมมือไทย - สหรัฐด้านสาธารณสุข โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย และมูลนิธิเดอะลิ้งค์ ร่วมกันจัดงานขึ้นเพื่อรณรงค์และสร้างกระแสสังคม ตามประเด็นสื่อสารเนื่องในวันยุติการเลือกปฏิบัติสากล ปี 2567 คือ ปกป้องสิทธิ เพื่อปกป้องสุขภาพของทุกคน โดยนำพลังของเยาวชนร่วมกันสร้างพลังในการเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมไม่เลือกปฏิบัติ” พญ.ชีวนันท์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น