สธ.ลงนามร่วม พศ.ขับเคลื่อน 8 โครงการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ สามเณร หลังพบ 50% สูงอายุ อาพาธโรคเรื้อรัง อาพาธระยะท้าย ลุยเปิดกุฏิชีวาภิบาลทุกอำเภอ มีแล้ว 788 แห่ง พร้อมเปิดที่ "วัดท่าซุง" อัญเชิญพระพุทธรูปปางพยาบาลภิกษุอาพาธประจำกุฏิ
เมื่อวันที่ 29 ก.พ. ที่วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเปิดโครงการดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และสามเณร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) พระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ เจ้าอาวาสวัดจันทาราม (ท่าซุง) เข้าร่วมพิธี พร้อมมีพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปปางพยาบาลภิกษุอาพาธ ที่สร้างขึ้นโดยอ้างอิงพุทธประวัติตอนหนึ่ง เพื่อประดิษฐาน ณ บริเวณกุฎิชีวาภิบาลด้วย
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สธ.ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งทางกาย ทางจิต ทางปัญญาและทางสังคม เพื่อช่วยเกื้อหนุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพของทั้งพระภิกษุ สามเณร และพุทธศาสนิกชนในชุมชน ให้ “วัดเป็นศูนย์กลางสุขภาพชุมชน” โดยจากข้อมูลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ปี 2564 ทั่วประเทศมีวัดกว่า 43,000 แห่ง พระสงฆ์-สามเณร ประมาณ 2.4 แสนรูป ในจำนวนนี้ กว่าร้อยละ 50 อยู่ในวัยสูงอายุ อาพาธโรคเรื้อรัง รวมถึงอาพาธระยะท้าย ซึ่งการดูแลส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การควบคุมโรคและการจัดการปัจจัยที่คุกคามสุขภาพพระสงฆ์ จะต้องเป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยและตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ. 2566
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมมายุครบ 72 พรรษา ในปี พ.ศ. 2567 สธ.จึงได้จัดทำโครงการดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และสามเณร เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์แบบบูรณาการ โดยร่วมกับ พศ. ผลักดันความร่วมมือในระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม สร้างกลไกการดำเนินงานให้เอื้อต่อการดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ในระดับพื้นที่ ครอบคลุมทั้งการให้ความรู้ส่งเสริมสุขภาพ การดูแลรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล การเข้าถึงสิทธิการรักษา และจัดตั้งกุฏิชีวาภิบาลและสถานชีวาภิบาลสำหรับดูแลสงฆ์อาพาธ เป็นต้น โดยมีเป้าหมายจัดตั้งกุฏิชีวาภิบาล อำเภอละ 1 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีกุฏิชีวาภิบาล/บ้านชีวาภิบาล ที่พร้อมดำเนินการแล้ว 788 แห่งทั่วประเทศ
ด้านนางพวงเพ็ชร กล่าวว่า ปัจจุบันมีการประกาศใช้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 เพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางการส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ และส่งเสริมบทบาทของพระสงฆ์ด้านสุขภาวะชุมชน โดยในปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หน่วยงานภาคีเครือข่ายสุขภาพได้สานพลังขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ภายใต้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ เพื่อสร้างกลไกการดำเนินงานให้เอื้อต่อการดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ในระดับพื้นที่ โดยมีมหาเถรสมาคม ในฐานะองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ดำเนินบทบาทสำคัญในระดับนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพของพระภิกษุสงฆ์ให้เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยอย่างยั่งยืน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. กล่าวว่า สธ.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ พศ.เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ 8 โครงการ ได้แก่ 1.วัดส่งเสริมสุขภาพและพระนักเทศน์ สนับสนุนให้พระภิกษุสงฆ์ มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) ตามหลักพระธรรมวินัย 2.การตรวจสุขภาพและส่งเสริมการปรับพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของพระภิกษุสงฆ์ 3.การอบรมพระคิลานุปัฏฐาก หลักสูตร 140 ชั่วโมง ดูแลพระสงฆ์และประชาชนในชุมชนบริเวณรอบพื้นที่วัดที่เจ็บป่วยเบื้องต้น 4.การจัดระบบการรักษาพระภิกษุสงฆ์และช่องทางเฉพาะ (Fast track) ให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพ
5.จัดตั้งกุฏิชีวาภิบาลและสถานชีวาภิบาล ดูแลพระสงฆ์อาพาธ และขึ้นทะเบียนวัดที่จัดบริการเป็นหน่วยรับส่งต่อ 6.การเพิ่มสิทธิประโยชน์พระสงฆ์ในการเข้าถึงบริการ 7.การจัดทำฐานข้อมูลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ ด้วยบัตรประชาชนในเดียว และ 8.การดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ ณ ดินแดนพุทธภูมิ โดยทีมแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร จัดบริการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นประธานพิธีเปิดกุฏิชีวาภิบาลวัดจันทาราม (ท่าซุง) ซึ่งเดิมเป็นตึกรับรองพระเถระที่ก่อสร้างในปี 2545 ได้ทำการปรับปรุงเป็นที่พักของพระเถระ และดูแลพระสงฆ์อาพาธที่เอื้อต่อพระธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพระสงฆ์ที่มีภาวะพึ่งพิง มีพระสงฆ์เป็นผู้ดูแล ร่วมกับฆราวาส นักบริบาลและทีมสหวิชาชีพของ รพ.สต.น้ำซึม และรพ.อุทัยธานี โดยนำนวัตกรรม Virtual Hospital มาใช้ ปัจจุบันมีห้องรองรับพระสงฆ์อาพาธ จำนวน 10 ห้อง และมีแผนที่จะสร้างกุฏิชีวาภิบาลหลังใหม่ด้วย