สสส.เผยจัดเก็บภาษี "น้ำตาล" ทำท้องตลาดปรับสูตรเครื่องดื่มหวานน้อยแล้ว 35% การบริโภคน้ำตาลลดลงเหลือ 23 ช้อนชาต่อวัน แต่ยังสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ธนาคารโลกชี้มาตรการภาษีความหวานช่วยเห็นผล
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม. ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในการประชุมหัวข้อ ปัจจัยการค้ากำหนดสุขภาพ (commercial determinants of health) ประสบการณ์ของไทยเรื่องภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล (Sugar-sweetened Beverages Tax) ในการประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2567 PMAC 2024 ภายใต้ธีม “ภูมิศาสตร์การเมืองและความเท่าเทียมทางสุขภาพในยุคแห่งวิกฤตที่ซ้ำซ้อน” (Geopolitics and Health Equity in an Era of Polycrises) ว่า ไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ประมาณ 400,000 ราย/ปี คิดเป็น 77% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด ในจำนวนนี้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 14% จากข้อมูลภาระโรคในไทยปี 2562 พบการบริโภคอาหารไม่เพียงพอ หรือมากเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมอง มะเร็ง และเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคน้ำตาลที่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย ซึ่งมาจากเครื่องดื่มมากที่สุด รองลงมาคืออาหาร และขนม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการผลักดันให้ผู้ประกอบการปรับปรุงสูตรเครื่องดื่มที่ลดปริมาณน้ำตาล เพื่อสุขภาพของประชาชนผู้บริโภค
ดร.นพ.ไพโรจน์กล่าวว่า สสส. เดินหน้าลดการบริโภคน้ำตาลร่วมกับ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันมาตรการทางภาษีความหวาน ภายใต้ พ.ร.บ. สรรพสามิต พ.ศ. 2560 ได้จัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อให้ประชาชนลดการบริโภคสินค้าเสี่ยงต่อสุขภาพ สนับสนุนให้ผู้ผลิตปรับสูตรเครื่องดื่มที่หวานน้อย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มปรับสูตรลดน้ำตาลเพิ่มขึ้น 35% ขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล พบการบริโภคน้ำตาลลดลงจากปี 2560 ที่ 27 ช้อนชา/วัน เหลือ 23 ช้อนชา/วัน ในปี 2564 โดยช่วงอายุ 15-29 ไป มีแนวโน้มการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลดลง แม้ว่าแนวโน้มจะลดลง แต่ยังสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน จึงเป็นเรื่องท้าทายที่ สสส. และภาคีเครือข่ายต้องเร่งปรับการทำงานให้เข้มข้นขึ้น ควบคู่กับการสื่อสารรณรงค์สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
เคท แมนเดวิล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอาวุโสจากธนาคารโลก (World Bank) กล่าวว่า แม้ว่าจะมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามาตรการทางภาษีความหวาน สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค และลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ เช่น ในเม็กซิโก ภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวานส่งผลให้การบริโภคน้ำตาลลดลงถึง 7.5% ตอกย้ำถึงประสิทธิภาพของการเก็บภาษีความหวาน โดยออกแบบโครงสร้างภาษีตามบริบทของประเทศนั้นๆ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับมาตรการติดฉลากอาหาร เครื่องดื่ม และส่วนผสมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งนี้จากการดำเนินงานของไทย ถือเป็นการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพทั้งมิติของกฎหมาย มาตรการ นโยบาย รวมถึงไปถึงการสร้างความตระหนักรู้ผ่านสื่อรณรงค์ต่าง ๆ