สช. ระดมธุรกิจขนส่ง-ขายออนไลน์ หารือมาตรการควบคุม “บุหรี่ไฟฟ้า” หลังพบเด็ก-เยาวชนเข้าถึงง่าย เหตุมี “เก็บเงินปลายทาง” เตือนมีความผิดครบ ทั้งมีสินค้ากับตัว รับเงินจากลูกค้าเอง เล็งทำข้อเสนอเชิงนโยบายผ่านสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดประชุมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า หัวข้อ ธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์และการขนส่งสินค้า โดยมี ศ.เกียรติคุณ พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ประธานคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้แทนบริษัทขนส่งสินค้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
ศ.พญ.สุวรรณา เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้จะเป็นเวทีชวนระดมความเห็นและข้อเสนอจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะผลกระทบกับเด็กและเยาวชนที่เข้าถึงได้ง่าย โดยมีธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ ขนส่ง เข้ามามีส่วนสำคัญกับประเด็นปัญหานี้ เพราะปัญหาใหญ่ขณะนี้ กลุ่มเด็กยังมีความรู้ไม่เท่าทัน บางครั้งถูกล่อลวงด้วยข้อมูลผิดๆ ว่าสูบแล้วไม่อันตราย สูบแล้วไม่ติด ไม่ผิดกฎหมาย แม้แต่การตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าขณะนี้ก็มาในรูปโฉมของเล่น (Toy Pod) แสดงว่าไม่ใช่การเจาะกลุ่มตลาดผู้ใหญ่ แต่จงใจทำมาเพื่อหลอกขายให้กับเด็กและเยาวชน ซึ่งทุกวันนี้แม้กระทั่งเด็ก ป. 1 ก็หาซื้อสูบเองได้
ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร เลขานุการคณะกรรมการพัฒนานโยบายฯ กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีกฎหมายเกี่ยวข้องอยู่มาก ทั้งประกาศกระทรวงพาณิชย์ตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522, คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558, พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 โดยสรุป เรามีกฎหมายที่ครอบคลุมไว้แล้วทั้งหมด ตั้งแต่การห้ามนำเข้า ห้ามขาย ห้ามให้บริการ ห้ามสูบในพื้นที่สาธารณะ ห้ามครอบครอง ฯลฯ แต่ละส่วนล้วนมีบทกำหนดโทษที่ชัดเจน แต่อาจเป็นประเด็นในแง่ของการบังคับใช้
ผศ.ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ กรรมการพัฒนานโยบายฯ กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่เคยพูดคุยประเด็นปัญหานี้ร่วมกับเวทีในต่างประเทศ พบว่าชาวต่างชาติประหลาดใจว่า เหตุใดเด็กไทยจึงสามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย เพราะเด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบไม่น่าที่จะสามารถเปิดบัญชีและซื้อของออนไลน์เองได้ แต่ปรากฎว่าเป็นเพราะขนส่งในไทยมีระบบเก็บเงินปลายทาง (COD) ซึ่งต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่มีระบบนี้ ทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นปัญหาหนึ่งที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงที่ง่ายมากสำหรับเด็กและเยาวชน ปัญหาใหญ่อีกประการคือ นอกจากค้นหาร้านจำหน่ายและสั่งซื้อได้ง่ายบนโลกออนไลน์ แต่ละร้านยังมีการแข่งขันเรื่องระบบขนส่งที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ว่าจะส่งด่วน ส่งฟรี ได้รับภายในวันเดียว รวมถึงมีการนำโปรโมชั่น/บริการของบริษัทขนส่งเจ้าใหญ่ๆ มาใช้ส่งเสริมการขายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งระบบที่เป็น COD ก็จะแจ้งให้ลูกค้าจ่ายเงินกับผู้ให้บริการขนส่งได้เลยโดยตรง
“ทุกวันนี้เด็กและเยาวชนจึงสามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่ายมาก โดยที่พ่อแม่อาจไม่มีทางรู้เลย เพราะค้นหาง่าย ราคาไม่สูง ระบบการส่งที่สะดวก ถามว่าธุรกิจขนส่งแบรนด์ต่างๆ ขณะนี้ทราบปัญหาแล้วหรือไม่ ว่ากำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกเอาไปใช้โปรโมตขายของผิดกฎหมาย หากมองในแง่กระบวนการกฎหมาย ความผิดก็มีส่วนร่วมครบ มีทั้งสินค้าอยู่กับตัว รับเงินจากลูกค้าเอง ดังนั้นธุรกิจขนส่งเจ้าต่างๆ จึงควรตระหนักเรื่องนี้ด้วย และมาหาแนวทางป้องกันร่วมกัน” ผศ.ดร.ศรีรัชกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.นาวิน เส็งสมวงศ์ ผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวว่า หากมีการขับเคลื่อนกลไกต่างๆ ได้ดี เช่น มีการจัดการที่ดีตั้งแต่ต้นทาง การนำเข้าสินค้า ก็จะช่วยปิดประตูปัญหาส่วนหนึ่งลงไปได้ ซึ่งในส่วนขั้นตอนกระบวนการขนส่งที่มาร่วมหารือกันในวันนี้ ถือเป็นปัญหาที่ปลายทาง แต่ก็นับว่าเป็นภาวะที่มีความเสี่ยงอยู่มาก เพราะในช่วงของการขนส่ง ผู้ที่มีสินค้าอยู่ในครอบครองก็จะมีความผิดและมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย เรื่องนี้จึงมีองคาพยพที่เกี่ยวข้องอยู่มาก แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเรายังมองปัญหานี้เพียงผิวเผิน ไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นมา แต่ถ้าเรามองให้ดีจะเห็นว่าความร้ายแรงของสินค้าพวกนี้ มองเทียบเคียงได้กับยาบ้า คือไม่มีใครสามารถนำเข้าได้ ไม่สามารถครอบครองได้ โทษความผิดที่มีก็ถือว่าค่อนข้างแรง แต่ปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าคือคนส่วนใหญ่อาจยังมองว่าไม่ใช่เหตุภัยร้ายแรง ไม่ได้มีผลกระทบมากมายเหมือนกับยาบ้า และยังเห็นคนสูบกันอยู่ทั่วไป จึงคิดว่าการขับเคลื่อนในเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องยกระดับ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาหามาตรการเพื่อช่วยกันต่อไป
ทั้งนี้ จากการร่วมกันหารือในครั้งนี้ ตัวแทนบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ร่วมฉายภาพถึงกระบวนการขนส่งพัสดุ ที่จะมีการใช้บัตรประชาชนของผู้ส่งเพื่อบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบ จึงสามารถตรวจสอบย้อนหลังกรณีที่เกิดปัญหาการส่งสินค้าผิดกฎหมาย แต่ความแตกต่างระหว่างไปรษณีย์ไทยกับบริษัทขนส่งเอกชน คือ การควบคุมกำกับที่แตกต่างกัน ซึ่งไปรษณีย์ไทยจะอยู่ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมี พ.ร.บ.ไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 กำกับดูแล ขณะที่เอกชนจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ดูแล จึงยังไม่มีหน่วยงานกลางหรือกฎหมายที่จะกำกับดูแล ควบคุมให้ระบบการขนส่งเป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน
ขณะที่ตัวแทนธุรกิจขนส่งเอกชน ร่วมสะท้อนถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ต้องเน้นจำนวน หรือปริมาณพัสดุเป็นหลัก ทำให้การตรวจสอบสินค้าอาจทำได้ยากและกระทบกับการดำเนินธุรกิจ แต่ด้วยรูปแบบของธุรกิจที่มีแฟรนไชส์สาขา บริษัทจึงมีนโยบายในการปรับเงินจากแฟรนไชส์ หากพบว่ามีการนำส่งสินค้าที่ผิดกฎหมายเข้าสู่ระบบ เพื่อให้สาขาต้นทางมีการควบคุมและจำกัดการส่งจากผู้ส่งรายนั้นๆ ต่อไป อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากบริษัทขนส่งมีความตระหนักในประเด็นของบุหรี่ไฟฟ้า ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและดำเนินการได้ หากมีช่องทางหรือมาตรการในการให้ความร่วมมือที่ชัดเจน
อนึ่ง ธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์และการขนส่งสินค้า จะเป็นหน่วยงาน 1 ใน 3 ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่คณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า จะร่วมหารือเพื่อรับฟังข้อมูล ความเห็น และข้อเสนอ เพื่อนำไปสู่การร่างข้อเสนอเชิงนโยบายในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านกระบวนการสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น ที่เป็นเครื่องมือพัฒนานโยบายสาธารณะภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550