อย. หารือ ก.พ.ร. ปลดล็อกแนวทางขออนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งอาหาร เครื่องสำอาง วัตถุอันตราย เครื่องมือแพทย์ สำหรับถ่ายทำ "หนัง" ในไทย เน้นอนุญาตเร็วใน 24 ชั่วโมง สะดวกขึ้นใช้เอกสารเพียง 4 ตัว ให้นำเข้าได้ในปริมาณที่จำเป็น ส่งกลับหรือทำลายใน 30 วันหลังถ่ายเสร็จ
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า อย. ขานรับนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย จึงได้ร่วมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งนำทีมโดยนางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ ก.พ.ร. เพื่อหารือประเด็นข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่อาจเป็นข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่อการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ ทั้งนี้ อย. ให้การสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย จึงได้ปรับข้อกฎหมายและหลักเกณฑ์บางส่วนที่อาจเป็นข้อจำกัดให้สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น และลดอุปสรรค (Faster, Easier, Less Barrier) โดย อย. มีมาตรการให้ยื่นขออนุญาตผ่านระบบ e-Submission เพียงผู้ประกอบธุรกิจเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขออนุญาตให้ครบถ้วน ได้แก่
- ข้อมูลทั่วไปของสินค้า คือ ฉลากสินค้าและรูปภาพ
- เอกสารแสดงความปลอดภัย
- หนังสืออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์
- หนังสือมอบอำนาจ
โดยสามารถนำเข้าได้ในปริมาณตามความจำเป็น ซึ่งจะบูรณาการข้อมูลกับกรมศุลกากรและกรมการท่องเที่ยว รวมทั้งส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ติดตามดูแล โดย อย. พร้อมพิจารณาอนุญาตได้ภายใน 24 ชั่วโมง และแจ้งผลการพิจารณาแบบ Real time สำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน รวมทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาเข้ามาใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์ในประเทศไทย และต้องส่งกลับหรืทำงายภายใน 30 วัน หลังถ่ายทำเสร็จ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ โทร 1556 หรือ โทร 02- 5907000 ต่อ 79918 หรือ 79935 หรือ @import.fda (กองด่านอาหารและยา) หรือติดต่อด้วยตัวเองที่ อย.อาคาร OSSC (ช่อง 72)
"อย. มุ่งขับเคลื่อนองค์กร โดยสนับสนุนการประกอบธุรกิจ ให้ดำเนินได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และร่วมมือกับทุกภาคส่วนเกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power และนโยบายการกระตุ้นของรัฐบาล พร้อมกันนี้ อย. ยังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และคุณภาพของผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มแข็งและยั่งยืน" นพ.ณรงค์กล่าว