"ชลน่าน" สั่งกรมสุขภาพจิตส่งทีม MCATT ดูแลจิตใจเด็ก-ครู ร.ร.ย่านพัฒนาการ 26 หลังเกิดเหตุ นร.แทงกันดับ พบ นร. 36 คน ครู 12 คน มีภาวะเครียด ให้การปรึกษาแล้ว จิตแพทย์ชี้ "ก้าวร้าว" เกิดจากหลายปัจจัย เปิด 3 ข้อแนะนำช่วยเด็กรู้จักจัดการอารมณ์ สังเกตสัญญาณความรุนแรง ย้ำยังไม่สรุปเป็น "เด็กพิเศษ" ขอให้สื่ออย่างระวัง
เมื่อวันที่ 30 ม.ค. นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงเหตุการณ์นักเรียนโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งย่านพัฒนาการ 26 เขตสวนหลวง ถูกทำร้ายร่างกายเสียชีวิต เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีความเป็นห่วงผลกระทบด้านจิตใจทั้งเด็กและบุคลากรครูในโรงเรียนอย่างมาก วันนี้จึงได้สั่งการให้กรมสุขภาพจิต ส่งทีม MCATT จากสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ สถาบันราชานุกูล ศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 ร่วมกับ ศูนย์บริการสาธารณสุขที่ 37 สำนักอนามัย กทม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือเยียวยาจิตใจนักเรียนในโรงเรียนดังกล่าว โดยวางแผนประเมินสุขภาพใจและให้การปฐมพยาบาลทางจิตใจเบื้องต้นกับนักเรียนและบุคลากรครู ทั้งสิ้น 67 คน แบ่งเป็น นักเรียน 55 คน และบุคลากรครู 12 คน
"เบื้องต้นพบว่านักเรียน 36 คน และครู 12 คน มีภาวะความเครียด ได้ให้การปรึกษารายบุคคล รวมถึงวางแผนร่วมกับผู้บริหารโรงเรียนในการดูแลเยียวยาจิตใจในระยะยาวต่อไป โดยจะส่งเจ้าหน้าที่จาก สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา เข้าร่วมปฏิบัติงานเพิ่มเติม" นพ.พงศ์เกษมกล่าว
นพ.พงศ์เกษม กล่าวว่า สาเหตุของความก้าวร้าวมักเกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ปัจจัยส่วนตัวที่มีปัญหาการจัดการอารมณ์ การจัดการความโกรธ ความใจร้อนหุนหันพลันแล่น หรือเป็นโรคที่ยับยั้งชั่งใจ คุมตัวเองยาก ปัจจัยจากครอบครัวที่มีความก้าวร้าวทางร่างกาย วาจา อารมณ์ ทำให้เรียนรู้ว่าสามารถแก้ไขความไม่พอใจด้วยความก้าวร้าวได้ หรืออาจดูแลตามใจจนเด็กไม่ได้ฝึกควบคุมตนเอง เมื่อไม่พอใจก็แสดงความก้าวร้าวใส่ผู้อื่น ปัจจัยทางโรงเรียน สังคมรอบตัว เช่น การกลั่นแกล้งรังแก การอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่นิยมความรุนแรง การใช้สารเสพติด เป็นต้น รวมทั้งปัจจุบันยังมีปัจจัยด้านสื่อออนไลน์ ที่สามารถสร้างอารมณ์การเกิดความรุนแรงได้ง่าย ดังนั้น การแก้ไขและป้องกันปัญหาความรุนแรงจึงต้องแก้ทุกปัจจัยไปพร้อมกัน ทั้งนี้ มีข้อแนะนำในการทำให้เด็กรู้อารมณ์และจัดการอารมณ์ ดังนี้
1.ผู้ใหญ่ควรควบคุมให้เด็กหยุดความก้าวร้าวด้วยความสงบ เช่น ใช้การกอดหรือจับให้เด็กหยุด หลังจากที่เด็กอารมณ์สงบแล้ว ควรพูดคุยถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กไม่พอใจจนแสดงความก้าวร้าว เพื่อให้เด็กได้ระบายออกเป็นคำพูด
2.ควรเริ่มฝึกฝนเด็กตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ให้รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง เช่น ฝึกให้แยกตัวเมื่อรู้สึกโกรธ
3.ฝึกให้เด็กรู้จักเห็นอกเห็นใจ มีจิตใจโอบอ้อมอารีแก่คน สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ขณะที่ครอบครัวต้องให้การดูแลอย่างเหมาะสม คือ 1.ต้องไม่ใช้ความรุนแรงเข้าไปเสริม การลงโทษอย่างรุนแรงในเด็กที่ก้าวร้าวไม่ช่วยให้ความก้าวร้าวดีขึ้น เด็กอาจหยุดพฤติกรรมชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็จะกลับมาแสดงพฤติกรรมนั้นอีก และอาจเรื้อรังไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ได้ 2.ไม่ควรมีข้อต่อรองกันขณะเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว และ 3.หลีกเลี่ยงการตำหนิว่ากล่าวเปรียบเทียบ เพราะจะทำให้เด็กมีปมด้อย รวมทั้งไม่ข่มขู่ หลอกให้กลัว หรือยั่วยุให้เด็กมีอารมณ์โกรธ เนื่องจากเด็กจะซึมซับพฤติกรรมและนำไปใช้กับคนอื่นต่อ
นพ.พงศ์เกษม กล่าวถึงกรณีสังคมมองว่า หากผู้กระทำเป็นเด็กพิเศษ ไม่ควรให้เรียนร่วมกับเด็กทั่วไป ว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สิ่งสำคัญไม่ควรมองว่าเป็นเด็กพิเศษหรือไม่อย่างไร เพราะปัจจัยที่ก่อเหตุมีหลายอย่าง อีกทั้งยังเกี่ยวเนื่องกับสิทธิมนุษยชน ดังนั้น การนำเสนอต้องระวัง และกรณีนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่า เป็นเด็กพิเศษ เพราะต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน โดยเคสคดีเด็กและเยาวชน จะมีกระบวนการต่างๆตามขั้นตอนของกฎหมายของศาลเยาวชนและครอบครัว ที่สำคัญต้องมีสหวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ร่วมด้วย
ด้าน พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า วิธีการสังเกตว่าจะมีความรุนแรง คือ การเปลี่ยนแปลงทางความคิด อารมณ์ พฤติกรรม เช่น คิดว่าตนเองไม่ดี คนอื่นไม่ดี คิดอยากทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น อารมณ์หงุดหงิดง่าย หรือ ซึมเศร้า พฤติกรรมก้าวร้าว พูดคำหยาบคาย หรือแยกตัว ซึ่งหากสงสัยว่าบุตรหลานของตนอาจเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง มีข้อแนะนำดังนี้
1.สังเกตร่องรอยการถูกทำร้ายตามร่างกาย พฤติกรรม หรืออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็ก เช่น มีอาการหวาดกลัว มีพฤติกรรมถดถอย ก้าวร้าว ซึมเศร้า หรือกลัวการแยกจากผู้ปกครองมากขึ้น
2.ใส่ใจรับฟัง ใช้เวลาพูดคุยมากขึ้น เข้าใจในสิ่งที่ลูกกำลังสื่อสารโดยไม่ด่วนตัดสิน อาจเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ เช่น “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” “วันนี้มีความสุขกับอะไรบ้าง” “วันนี้เพื่อนและครูเป็นอย่างไรบ้าง” “วันนี้ไม่ชอบอะไรที่สุด” และเมื่อสงสัยว่าลูกถูกกระทำความรุนแรง สามารถใช้การสนทนาด้วยประโยคง่ายๆ เช่น “ถ้ามีใครทำให้ลูกเจ็บหรือเสียใจ เล่าให้พ่อแม่ฟังได้นะ เราจะได้ช่วยกัน” ในกรณีที่เด็กไม่สามารถเล่าหรือตอบได้ อาจใช้ศิลปะหรือการเล่นผ่านบทบาทสมมุติเพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยสื่อสารได้
3.สร้างพื้นที่ปลอดภัยในครอบครัว ให้ลูกสามารถสื่อสาร หรือเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้ โดยไม่ถูกบ่นหรือตำหนิ หลีกเลี่ยงการใช้การลงโทษที่ใช้ความรุนแรงทางกายและทางอารมณ์ เน้นการใช้แรงเสริมทางบวกเพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่ดีแทน และหากพบว่าเด็กมีพฤติกรรม อารมณ์ ความคิด ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ควรพาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น หรือกุมารแพทย์พัฒนาการ ได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง