สบส.ยื่นอุทธณ์หลังศาลปกครองกลาง สั่งเพิกถอนคำสั่ง รพ.เอกชนคืนเงินผู้ป่วย เหตุไม่เข้าเกณฑ์สิทธิ UCEP เผยมีอุทธรณ์ 2 คดี ยังอยู่ระหว่างรอศาลวินิจฉัยอีก 21 คดี ย้ำต้องพิทักสิทธิ์คนไข้ถูกเรียกเก็บเงิน ยันไม่เป็นบรรทัดฐานจนกระทบหน้างาน ยันไม่เพิ่มกลุ่มอาการ "สีส้ม" เข้า UCEP
เมื่อวันที่ 27 ม.ค. นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนคำสั่งอธิบดี สบส. ที่สั่งให้ รพ.รามคำแหงคืนเงินค่ารักษาพยาบาลคนไข้โรคหลอดแดงโป่งพองและให้ทาง รพ.ไปเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจาก สปสช.แทน เนื่องจากเห็นว่า ผลวินิจฉัยแรกรับผู้ป่วยใน 72 ชั่วโมง ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามคู่มือคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน ว่า เรื่องนี้ทางรพ.รามคำแหงฟ้อง สบส. และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) แล้วศาลวินิจฉัยว่า การที่สพฉ.วินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้หนังสือที่ สบส.สั่งให้ รพ.รามคำแหงคืนเงินที่เรียกเก็บจากผู้ป่วย ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ขณะนี้ทางฝ่ายกฎหมายจึงอยู่ระหว่างทำเรื่องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้ทำเรื่องอุทธรณ์ไปแล้ว 1 คดี ในประเด็นเดียวกันนี้ แต่จาก รพ.คนละแห่งกัน
“ตอนนี้มีคดีลักษณะนี้อยู่ 23 คดี จาก รพ.หลายๆ แห่ง บางคดีเป็นกลุ่ม รพ.รวมยอดเงินที่มีการเรียกเก็บจากคนก็ราวๆ หลายสิบล้านบาท 2 คดีวินิจฉัยแล้ว และเรากำลังอุทธรณ์ จึงเหลือ 21 คดีที่รอศาลพิจารณา ซึ่งเราบอกให้ รพ.จ่ายคืนให้กับคนไข้ เพราะเราให้เขาเก็บเงินตามโครงการ UCEP หรือจากสปสช. แต่พอ รพ.เรียกเก็บจากคนไข้ เราก็ต้องพิทักษ์คนไข้เอาไว้ บางอย่างเป็นความเจ็บป่วยใกล้เป็นใกล้ตาย ถ้าอาการป่วยเข้าได้กับการเจ็บป่วยฉุกเฉินตามโครงการ UCEP ก็ต้องเอา UCEPให้เรา” นพ.สุระ กล่าว
ถามว่าการที่ศาลมีผลตัดสินออกมาเช่นนี้ จะกลายเป็นบรรทัดฐานหรือไม่ นพ.สุระกล่าวว่า ไม่ถือว่าเป็นบรรทัดฐาน เพราะการเจ็บป่วยแต่ละรายมีความแตกต่างกัน ดังนั้น จึงต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ซึ่ง สพฉ.ก็มีเกณฑ์อยู่แล้ว และหากเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างสถานพยาบาลกับผู้ป่วย สพฉ.ก็มีคณะทำงานศูนย์ประสานและคุ้มครองสิทธิ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ทุกสาขาอยู่แล้ว ที่จะดูเรื่องอาการเจ็บป่วยต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
เมื่อถามว่า การที่ รพ.เรียกเก็บเงินคนไข้ไม่ว่าจะเข้าเกณฑ์หรือไม่เข้าเกณฑ์ ถือว่าผิดจากมาตรฐานของ สบส.หรือไม่ จำเป็นต้องพูดคุย ตักเตือนหรือไม่ นพ.สุระ กล่าวว่า เราได้ส่งหนังสือไปแจ้งว่า ไม่ให้เก็บเงินคนไข้ เพราะการเรียกเก็บนั้น หากผู้เสียหายร้องเรียน รพ.มา สบส.ก็ต้องลงไปดู และมีหนังสือให้ทบทวน ถ้าเก็บไม่ได้แล้วยังไปเก็บเงินกับคนไข้ ก็จะถือว่ามีความผิดตามที่ได้ขออนุญาตจากสบส.ไว้ ส่วนหนึ่ง ก็มีบทลงโทษอยู่
ด้าน ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า ที่จริงแล้ว หาก รพ.รับผู้ป่วยเข้ามาแล้ว ไม่มั่นใจว่า อาการนั้นๆ เข้าข่ายเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือไม่ ก็จะประสานเข้ามาที่ศูนย์ประสานและคุ้มครองสิทธิ สพฉ. เพื่อตัดสินว่าเป็นกลุ่มอาการใด แต่ที่ผ่านมา รพ.ส่วนใหญ่จะคีย์ข้อมูลเข้าเครื่องมือพิจารณาจัดกลุ่มอาการอัตโนมัติ ซึ่ง สพฉ.ก็มองว่า นั่นไม่ใช่คำวินิจฉัยของ สพฉ. เพราะเมื่อเครื่องอัตโนมัติบอกว่า อาการนั้นเป็นเพียงกลุ่มอาการสีเหลือง ทำให้เกิดการเข้าใจผิดกัน แล้ว รพ.ก็เลยเก็บเงินคนไข้ ทั้งที่จริงแล้ว สพฉ.ยังไม่ได้นำเรื่องนี้เข้าคณะทำงานศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิ เพื่อวินิจฉัยเลย เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เลยเกิดความไม่เข้าใจกันระหว่าง รพ.กับสพฉ.
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะพิจารณากลุ่มอาการสีส้ม ซึ่งก้ำกึ่งระหว่างฉุกเฉินสีเหลืองและวิกฤตสีแดง ที่อาจจะมีปัญหาเรื่องการตีความ เข้าสิทธิ์ UCEP ที่สามารถเข้ารักษาได้ทุกที่ไม่ถูกเรียกเก็บเงิน เหมือนช่วงโควิดที่มีการประกาศกลุ่มอาการสีส้มเป็น UCEP+ นพ.สุระ กล่าวว่า จริงๆ UCEP จะเป็นสีแดงอย่างเดียว ไม่ให้สีส้ม แต่สีส้ม เป็นอาการที่หย่อนๆ ลงมา ยังสามารถรอได้ ไม่ใช่ว่าเป็นสีส้ม ถ้าไม่ได้รับการดูแลแล้วจะเสียชีวิต