ทนายรณรงค์พาผู้ผ่วย-ลูกสาว ร้อง "ชลน่าน" ตรวจสอบ รพ.บางใหญ่ รักษาไม่ได้มาตรฐาน ให้แม่บ้านวัดความดัน นอนรักษา 5 วัน เส้นเลือดสมองแตกคา รพ. ต้องเป็นคนพิการ เสียรายได้ สธ.รับเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายรณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้พาครอบครัวผู้เสียหายมายื่นหนังสือถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กรณีการรักษาพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐานจนทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นผู้พิการ
นายรณรงค์กล่าวว่า เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 โดยครอบครัวผู้เสียหายได้พาคุณแม่อายุ 57 ปี ไปรักษาที่คลินิกเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ทางครอบครัวจึงพาคุณแม่ไปเข้ารับการรักษาใน รพ.บางใหญ่ ด้วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท อยู่ใน รพ. 5 คืน กระทั่งคืนที่ 6 รพ.ได้ส่งตัวฉุกเฉินไปยัง รพ.พระนั่งเกล้า เพื่อไปสแกนสมอง พบว่าเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้คุณแม่เกิดความพิการขึ้น
ประเด็นสำคัญคือ ช่วงที่อยู่ รพ.บางใหญ่ ถึง 5 วันทำไมจึงไม่มีการตรวจให้ละเอียดและก็ยังมีการวินิจฉัยว่า เป็นไข้หวัดใหญ่อยู่ จนกระทั่งผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตก จนด้านลูกสาวจึงได้ไปร้องเรียนตามหน่วยงานที่เปิดให้ร้องเรียน สุดท้ายทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี ได้เข้ามาเยียวยาแต่ก็มีเงื่อนไขที่เป็นปัญหาว่า การจะรับเงินเยียวยาจากภาครัฐจะต้องเซ็นยินยอมไม่ติดใจเอาความ ในวงเงินชดเชย 400,000 บาท ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดความผิดพลาดระหว่างคนไข้กับโรงพยาบาล ตนจึงได้พาครอบครัวผู้เสียหายมาร้องเรียน เนื่องจากรัฐบาลเองก็มีนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบัตรทอง 30 บาท
“ผมรู้ว่าเรามีสวัสดิการบัตรทอง 30 บาท แต่เราไม่ได้อยากนั่งรอ 5 วัน แล้วค่อยไปสแกนสมองและการส่งต่อก็ใช้เวลานาน จึงเกิดเป็นความผิดพลาดขึ้นมา โดยเฉพาะตอนอยู่ รพ.บางใหญ่ ที่มีการให้แม่บ้านเป็นคนมาวัดความดันให้คนไข้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลย” นายรณรงค์กล่าว
ด้าน น.ส.ธัญวรินทร์ ภักดี ลูกสาวของผู้เสียหาย กล่าวว่า หลังจากที่ตนพาคุณแม่รักษาที่คลินิกแล้ว ก็ตัดสินใจมา รพ.บางใหญ่ ตอนแรกคุณหมอบอกว่า อาจจะเป็นนิ่วก็เลยมีการเจาะเลือดไปตรวจ จนแอดมิดแล้วก็ยังไม่มีผลเลือดอะไรออกมา เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ตนจึงติดใจเรื่องการรักษาจึงอยากให้มีมาตรฐานมากกว่านี้ อย่างกรณีคุณแม่ของตน ที่มีค่าความดันสูงถึง 200 กว่า แต่ผู้ที่ดูแลก็ได้แค่จดไป ไม่มีการกระทำการใดๆ เลย ส่งผลให้คุณแม่เป็นหนักขนาดนี้ ตนเข้าใจว่าเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อคุณแม่ได้ไปนอนอยู่ใน รพ. แล้วก็ควรจะมีวิธีที่ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรงขนาดนี้ได้ แต่เขากลับไม่ทำ เพราะขาดความใส่ใจ ตนยอมรับว่า ตนได้ไปเรียกร้องที่ รพ. แต่ก็มีการโยนกันไปโยนกันมา จนสุดท้ายกลายเป็นทุกคนบอกว่าเพราะแม่บ้านเป็นคนวัดความดัน ส่วนพยาบาลก็อ้างว่าความดันขึ้นสูงนั้นเป็นเรื่องปกติของผู้สูงอายุ จึงไม่ได้คิดเรื่องของเส้นเลือดตีบ
“ตอนอยู่ รพ.บางใหญ่ แม่มีอาการปวดหัว กินอะไรไม่ได้ อาเจียนจนไม่มีแรง ทำให้พยาบาลเร่งเอาน้ำเกลือให้เพราะอ้างว่าคนไข้กินอะไรไม่ได้ แล้วก็น่าจะมีการผสมยาฆ่าเชื้อด้วย แล้วเมื่อมีการส่งต่อไปยัง รพ.พระนั่งเกล้า ก็ไม่มีประวัติคนไข้ไปเลย ทำให้คุณหมอต้องเริ่มต้นการวินิจฉัยใหม่ทั้งหมด ปรากฎว่า คุณหมอบอกว่าแม่ได้รับน้ำเกลือมากเกินไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แม่เกิดอาการ จนแม่ต้องเป็นคนพิการแบบนี้ จนได้บัตรคนพิการ ส่วนรายได้จากเดิมแม่เคยทำงานได้เดือนละ 50,000 บาทแต่ตอนนี้ต้องอาศัยแค่เบี้ยคนพิการอย่างเดียว ที่มาวันนี้ก็หวังให้มีการสร้างมาตรฐาน รพ. ให้ดีขึ้น เราไม่ได้จะมาเรียกร้องข้อเสียหายอะไร ถ้าเลือกได้เราต้องการไม่ให้แม่ต้องมาพิการแบบนี้ และก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนอื่นอีก” น.ส.ธัญวรินทร์กล่าว
นายปิยวัฒน์ ศิลปรัศมี ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากผู้บังคัญบัญชาให้มารับเรื่องนี้ และให้ดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย ทั้งนี้ ตนจะต้องนำเรียนผู้บังคับบัญชาระดับสูงถึงการดูแลผู้ป่วยและอีกเรื่องคือการดูแลมาตรฐานการการรักษาพยาบาลว่าถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ถูกต้องเราก็จะต้องช่วยเหลือเยอะที่สุด ส่วนเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีพ ก็จะต้องไปตรวจเรื่องนี้ด้วย
เมื่อถามว่าหากฟังจากข้อมูลที่ผู้เสียหายมาร้องเรียนวันนี้ เข้าข่ายความผิดด้านมาตรฐานการรักษาพยาบาลหรือไม่ นายปิยวัฒน์กล่าวว่า ถ้าฟังจากผู้ป่วยก็ดูแล้วมีส่วนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องไปดูรายละเอียดข้อเท็จจริง
ถามต่อว่ากรณีที่ให้แม่บ้านมาเป็นผู้ตรวจวัดความดันผู้ป่วยใน รพ. ถือว่าผิดตามมาตรฐานด้วยหรือไม่ นายปิยวัฒน์กล่าวว่า ก็น่าจะใช่ แต่ก็ต้องไปดูรายละเอียดก่อน