"หมอประกิต" เผยงานวิจัย นร.ไทยเกือบ 40% ไม่เชื่อ "บุหรี่ไฟฟ้า" ก่อโรคหัวใจ ทำปอดอักเสบรุนแรง ไม่เชื่อว่ารับไอมือสองมีอันตราย เร่งออกโปสเตอร์รณรงค์ใหม่ ด้านกรมควบคุมโรคเตือนเพิ่มเสี่ยงเสพติดกัญชา 4 เท่า
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยว่า จากการที่บุหรี่ไฟฟ้าระบาดรุนแรงในเด็กนักเรียนทั่วประเทศ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้ผลิตสื่อชิ้นใหม่ เพื่อรณรงค์ให้เด็กนักเรียนไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ในรูปแบบโปสเตอร์ ขนาด 15x21 นิ้ว โดยดัดแปลงมาจากโปสเตอร์ที่องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ผลิตขึ้นสำหรับโรงเรียนระดับชั้นมัธยมทั่วประเทศนำไปติดในห้องน้ำ เนื่องจากพบว่า ห้องน้ำเป็นสถานที่ซึ่งเด็กนักเรียนชอบแอบนำบุหรี่ไฟฟ้าไปสูบ
ทั้งนี้ ข้อความในโปสเตอร์ที่เป็นภาษาอังกฤษใช้ถ้อยความที่กระแทกแรงมาก ว่า Strangely enough, some students come in here to put crap into their body ซึ่งคำว่า crap ในภาษาอังกฤษ แปลตรง ๆ หมายถึง อึ/อุจจาระ หรือถ้าสุภาพหน่อย หมายถึง ขยะ ของสกปรก เนื้อหาโดยรวมจึงต้องการกระตุกความสนใจจากนักเรียนว่า “มันแปลกนะ ที่นักเรียนบางคนเข้ามาที่นี่เพื่อเอาขยะของเสียเข้าสู่ร่างกาย” โดยเปรียบเทียบการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นของเสีย ของไม่ดี กลับเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้ง ยังมีข้อความที่พิมพ์ใต้เนื้อหาข้างต้นว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีกลุ่มสารก่อมะเร็งตัวเดียวกันกับที่พบในบุหรี่มวน แต่การใช้ถ้อยคำกระชากความรู้สึกของเด็กนักเรียนที่รุนแรงเกินไป อาจไม่เหมาะกับบริบทของสังคมไทย มูลนิธิรณรงค์ฯ จึงดัดแปลง ผลิต และเผยแพร่ โดยใช้ข้อความว่า “มันแปลกนะ ห้องน้ำมีไว้เพื่อปลดทุกข์ แต่นักเรียนบางคนแอบมาสูบสารพิษเข้าตัว พอตและบุหรี่ไฟฟ้า มีกลุ่มสารก่อมะเร็งตัวเดียวกันกับบุหรี่มวน
ศ.นพ.ประกิต กล่าวว่า การให้ความรู้ที่ถูกต้องถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็กนักเรียน เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญมาก ๆ ที่จะลดการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า เห็นได้จากข้อมูลจากงานวิจัยของ รศ.ดร.จักรพันธ์ เพ็ชรภูมิ อาจารย์ประจำสาขาวิชาอนามัยชุมชน คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เรื่อง การใช้บุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 6,147 คน จาก 16 จังหวัด ระหว่างเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2566 ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย พบว่า นักเรียนมัธยมศึกษาในอัตราส่วนที่สูงมากที่ยังไม่รู้หรือเข้าใจผิดถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า
• 39.3% ไม่เชื่อว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
• 36.6% ไม่เชื่อว่าการได้รับไอบุหรี่ไฟฟ้ามือสอง มีอันตรายต่อสุขภาพ
• 35.8% ไม่เชื่อว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้ ปอดอักเสบรุนแรง
• 34.2% ไม่เชื่อว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อสมองและการเรียนรู้
• 21.8% เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่แบบมวนได้
• 20.5% เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน
และเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ขอเชิญชวน ผู้บริหาร บุคลากร และคุณครูของโรงเรียนทุกสังกัด สื่อสารถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อขอรับโปสเตอร์ดังกล่าวได้ที่มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โทรศัพท์ 0-2278-1828 หรือดาวโหลดไฟล์จากเว็บไซต์ www.smokefreezone.or.th
ด้าน นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันสารปรุงแต่งกลิ่นและรสในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า มีความหลากหลายมากถึง 16,000 รสชาติ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มกลิ่นผลไม้ ขนมหวาน เครื่องดื่ม ลูกอม ซึ่งเป็นกลิ่นและรสที่นักสูบหน้าใหม่ชื่นชอบ นอกจากนี้ อุปกรณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้าหรือตัวน้ำยาเติมบุหรี่ไฟฟ้า ยังเอื้อให้ผู้สูบสามารถนำสารเสพติดอื่นมาผสมได้อีกด้วย จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกา พบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้านำไปสู่การเสพติดกัญชาในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยมีโอกาสมากถึง 3.6-4 เท่า และในขณะเดียวกันยังมีรายงานการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศแคนาดา เสี่ยงต่อการใช้กัญชาสูงถึง 4 เท่า
นพ.ธงชัย กล่าวว่า กรมควบคุมโรค มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน อาจกลายเป็นนักสูบหน้าใหม่ได้ จึงขอฝากให้ผู้ปกครอง รวมถึง ครูอาจารย์ ช่วยกันแนะนำถึงอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษ พิษภัย ของบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงการเลิกสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422