สธ.ร่วมราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัด รพ.นครปฐม เป็นศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษา ชั้นปีที่ 5-7 เหตุมีศูนย์เชี่ยวชาญหลายด้าน เริ่ต้นปีการศึกษาหน้า 32 คน ตั้งเป้า รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไปให้เป็น Academy
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ ศ.เกียรติคุณ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รักษาการรองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ปฏิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ลงนามความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการสนับสนุนการเป็นโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสมทบในการผลิตแพทย์ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
นพ.โอภาส กล่าวว่า สธ.ให้ความสำคัญกับการผลิตและพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพ เพิ่มอัตรากำลังคนในระบบสาธารณสุขให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สนับสนุนให้ รพ.ในสังกัดเป็น รพ.หลักและ รพ.สมทบในการร่วมผลิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้เป็นบัณฑิตแพทย์ที่มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติที่ดี มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานของแพทยสภา โดยความร่วมมือในครั้งนี้ สธ.และวิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะร่วมกันผลิตแพทยศาสตรบัณฑิต และสนับสนุนให้ รพ.นครปฐม เป็น รพ.หลักจัดตั้งศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกในการผลิตบัณฑิตแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหลักสูตรนี้จะเรียน 7 ปี โดยจะได้ทั้งปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต และปริญญาอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมาฝึกที่ รพ.นครปฐมช่วงปีที่ 5-7
“ปัจจุบัน รพ.นครปฐมเป็นศูนย์ความเชี่ยวชาญในหลายด้าน อาทิ โรคหัวใจ ทารกแรกเกิด มะเร็ง หลอดเลือดสมอง และการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งจะเริ่มในปี 2567 เบื้องต้น 32 คน แต่อาจจะขยายเพิ่มเติมได้” ปลัดสธ.กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวว่า รพ.นครปฐม ยังมีภารกิจในโครงการร่วมสอนและผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในระดับก่อนและหลังปริญญากับสถาบันต่างๆ ได้แก่ สถาบันร่วมสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 สถาบันฝึกปฏิบัติแพทย์ประจำบ้านสาขาต่างๆ และเป็นสถาบันหลักฝึกปฏิบัติแพทย์ประจำบ้านสาขาศัลยศาสตร์ เป็นต้น จึงมีความพร้อมเป็นสถานที่รองรับการฝึกทักษะวิชาชีพของนักศึกษาแพทย์ในชั้นปีที่ 5-7 ของคณะแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เริ่มตั้งแต่ 14 มิ.ย. 2567 เป็นต้นไป อีกทั้งยังร่วมกันจัดทำแผนการเรียนการสอนที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนในชุมชน และพัฒนาอาจารย์แพทย์และบุคลากรของศูนย์แพทย์ฯ ในด้านแพทยศาสตรศึกษาและทางคลินิก ให้มีความก้าวหน้าในวิชาชีพด้วย ทั้งนี้ จะดำเนินการตามความร่วมมือตั้งแต่ปีการศึกษา 2567 จนถึงปีการศึกษา 2576 รวมระยะเวลา 10 ปี
ถามว่าเหตุใดถึงเลือก รพ.นครปฐม นพ.โอภาส กล่าวว่า จริงๆ เรามี รพ.หลายแห่งที่เหมาะสม โดยเฉพาะ รพ.นครปฐม เป็นรพ.ศูนย์ที่มีศักยภาพ มีบุคลากร สถานที่พร้อม เครื่องมือต่างๆ เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และด้วย ผอ.รพ.นครปฐมมุ่งมั่นในการยกระดับบริการ เราพบว่า ระยะหลัง รพ.ของ สธ. ที่มีศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษา บุคลากรเรามีความเชี่ยวชาญและต้องการพัฒนาตนเองมากขึ้น จึงเป็นหมุดหมายที่ดีในการพัฒนาและยกระดับเป็น Academy ในการผลิตบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขต่างๆ ในอนาคต อย่างที่ผ่านมาเราผลิตพยาบาลจำนวนมาก และผลิตแพทย์ปีละ 1,000 คน ถือว่าเป็นแหล่งผลิตแพทย์จำนวนมากที่สุดในไทยและภูมิภาค คาดว่าอาจมากที่สุดในโลกก็เป็นได้
ถามว่าในอนาคตมีแผนฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรในรพ.อื่นๆ อย่างไร ปลัดสธ. กล่าวว่า อยากให้ รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไปทุกแห่งเป็นแหล่งฝึกอบรม ผลิตบุคลากรทุกระดับ ทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ เภสัชกร และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง นี่คือเป้าหมายสำคัญของกระทรวงในการยกระดับบริการ
ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.รัชตะ กล่าวว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นสถาบันการวิจัยวิชาการชั้นสูงและจัดการศึกษาทางวิชาการ วิชาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การแพทย์และการสาธารณสุข มีแผนเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน โดยจะดำเนินการจัดการเรียนการสอนแพทยศาสตรบัณฑิต ในชั้นปีที่ 1-4 รวมถึงจะช่วยกำกับดูแลและส่งเสริมการพัฒนาอาจารย์ การเรียนการสอน และการประกันคุณภาพการศึกษาของศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลนครปฐม และสถาบันสมทบ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานและบริการสุขภาพ รวมถึงสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาแพทยศาสตร์ของแพทยสภาด้วย