จับตาบอร์ดนโยบายแอลกอฮอล์ชาติ ถกเคาะมาตรการรับปิดผับตี 4 วันที่ 8 ธ.ค.นี้ ห่วง 2 ข้อกังวลหลัก
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. รายงานข่าวแจ้งว่า ร่างมาตรการรองรับนโยบายขยายเวลาปิดสถาบันเทิง ผับ บาร์ถึงเวลา 04.00 น. ตัวร่างฯ อยู่ที่คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพอเปิดถึงเวลา 04.00 น. นั้น อาจจะมีปัญหาตามมา จึงมีข้อกังวลอยู่ 2 เรื่อง คือ 1. สถานประกอบการที่ไม่ใช่สถานประกอบการตามกฎหมายนั้น แต่มีที่ตั้งอยู่ในโซนนิ่งด้วย ก็อยากจะขอเปิดถึงตี 4 ได้ด้วย ซึ่งมีมากกว่า 1 หมื่นแห่ง เป็นกลุ่มใหญ่กว่าสถานประกอบการตามกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยที่มีอยู่เพียงประมาณ 2 พันกว่าแห่งเท่านั้น และกระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นหากสถานประกอบการเหล่านั้นมาขอด้วยก็เป็นเรื่องแน่
2. ต้องได้เฉพาะโซนนิ่ง คนที่มีอำนาจในการอนุญาตคือผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ค่าใบอนุญาตเดิมอาจจะจดในอัตราเท่านี้ แต่ไม่รู้ว่าต่อไป เวลามีการแข่งขันกันอาจจะไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ที่จะประชุมกันในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ว่าจะเอาอย่างไร แต่ในเบื้องต้นคือเป็นไปตามกฎหมาย คือให้เฉพาะสถานบริการตามกฎหมาย
อยากให้กระทรวงมหาดไทยออกมาตรการขึ้นทะเบียนสถานประกอบการคล้ายสถานประกอบการให้ถูกต้อง จะได้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่อย่างนั้น กิจการเหล่านี้จะมาขอร่วมนโยบายเปิดบริการถึงตี 4 ด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้ เพราะกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยที่ออกมานั้นให้เฉพาะสถานประกอบการตามกฎหมายนั้นเท่านั้น และจริงๆ อยากให้สถานประกอบการเหล่านี้มีเครื่องเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่เนื่องจากจากสถานประกอบการเหล่านี้อยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทย จึงได้แต่ขอความร่วมมือ ไม่สามารถสั่งได้ ทั้งนี้หากมีเครื่องเป่าแอลกอฮอล์ได้ อย่างน้อยก็จะได้ช่วยแสกนคนได้ แต่ไม่ต้องมีการยืนยันผลเหมือนเจ้าหน้าที่ตำรวจ และที่จริงมาตรการเช่นนี้ในต่างประเทศเขาก็ทำกัน อย่างไรก็ตามอยู่ที่ความร่วมมือ
ส่วนมาตรการทางฟากของสาธารณสุขนั้น คร่าวๆ จะมีการเสนอระบบเฝ้าระวังผลกระทบทางด้านสุขภาพ เรื่องอุบัติเหตุทางถนนต่างๆ ซึ่งจะใช้กลไกของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นั้นๆ หรือโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดนั้น ซึ่งจะอยู่ในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด และอยู่ในศูนย์อุบัติเหตุของจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเป็นผู้ว่าฯ มีอำนาจก็ต้องสั่งมอนิเตอร์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด