สวรส.ชี้เจ็บป่วยรับยา "ร้านยา" ใกล้บ้านผ่านวิจัยแล้ว ก่อน สปสช.นำไปต่อยอดโครงการ หวังลดแออัด รพ. ห่วงยังกระจุในเขตเมือง กทม. ต้องกระจายต่างจังหวัด ตั้งเป้า 5 พันร้าน ช่วยดูแลครอบคลุม 48 ล้านคนตามสิทธิบัตรทองทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผอ.สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า ระบบบริการสุขภาพ เริ่มต้นตั้งแต่ระดับปฐมภูมิไปจนถึงศูนย์ความเป็นเลิศด้านต่างๆ (Excellent Center) สิ่งที่เราอยากเห็นคือ ผู้เจ็บป่วยสามารถไปใช้บริการที่มีคุณภาพใกล้บ้านได้สะดวก ขณะนี้ใกล้สุดคือ รพ.สต.ถัดไปเป็น รพ.ระดับอำเภอ นอกจากนี้ พบว่าผู้รับบริการใน รพ.ระดับต่างๆ มีจำนวนมาก ทั้งที่จริงบางคนมีอาการเจ็บป่วยไม่มากหรือเจ็บป่วยเล็กน้อย แต่ต้องเสียเวลาไป รพ. แต่ละคนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะ รพ.ขนาดใหญ่จะเสียเวลาค่อนข้างมาก ถ้ามีการเพิ่มขีดความสามารถหรือศักยภาพการบริการให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด โดยกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยให้สามารถไปรับยาที่สถานบริการสุขภาพใกล้บ้าน น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก จึงนำมาสู่คำถามทางวิชาการว่า ถ้าประชาชนจะไปรับยาใกล้บ้านต้องทำอย่างไรให้ถูกหลักวิชาการ ฉะนั้นงานวิจัยที่จะตอบคำถามเชิงนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องการประเมินว่า ทำแล้วเกิดผลอะไร อย่างไร และต้องปรับปรุงตรงไหนเพิ่มเติมบ้าง เป็นเรื่องสำคัญที่นำมาซึ่งโจทย์วิจัยเชิงระบบ
“หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า สวรส.ทำวิจัยระบบสุขภาพ หมายความว่าอย่างไร งานวิจัยลักษณะนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนและสำคัญ หรือตัวอย่างการวิจัยเชิงระบบของ สวรส. ในอดีต เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นต้น นอกจากนั้น หลังจาก สวรส. ได้มีการประเมินโครงการรับยาที่ร้านยาแล้ว สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้นำไปใช้ในการพัฒนานโยบายรับยาที่ร้านยาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยตั้งเป้าว่าร้านยา 1 ร้านควรให้บริการครอบคลุมประชาชน 1 หมื่นคนในช่วงแรก เนื่องจากมีผู้ใช้บริการบัตรทองอยู่ประมาณ 48 ล้านคน ฉะนั้น ทั้งประเทศควรมีร้านยาที่เข้าร่วมโครงการรับยาที่ร้านยา 4,800 ร้าน หรือตั้งเป้า 5,000 ร้าน และควรมีการกระจายไปในพื้นที่ให้ครอบคลุมการรับบริการให้มากที่สุด” นพ.ศุภกิจ กล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันมีร้านยาที่สมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 1,500 ร้าน หน่วยงานเกี่ยวข้องกำลังเร่งรัดให้ได้ 5,000 ร้าน แต่ต้องยอมรับว่าร้านยาส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการเป็นร้านยาที่อยู่ในพื้นที่เขตเมือง และอยู่ใน กทม. ควรผลักดันให้เกิดการกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ ในทุกภาคมากขึ้น และเป็นที่น่ายินดีว่า หลังจากเริ่มโครงการไม่นาน นอกจากมีร้านยาเข้าร่วมแล้ว ยังพบว่ามีประชาชนมาใช้ประโยชน์ประมาณ 5 แสนกว่าครั้ง รวม 2 แสนกว่าคน เฉลี่ยคนละ 2 ครั้ง ฉะนั้นการลดผู้ป่วย 5 แสนกว่าคนที่ต้องไป รพ. ก็จะทำให้ทุกฝ่ายให้บริการได้ดีขึ้น ทั้งนี้ โรคที่พบส่วนใหญ่ 1 ใน 3 เป็นโรคไข้หวัด เจ็บคอ ไม่สบายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องไปแออัดอยู่ที่ รพ. และเป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเรื่องยกระดับ 30 บาท โดยร้านยาที่จะเข้าร่วมโครงการต้องมีมาตรฐาน Good Pharmacy Practice (GPP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีเงื่อนไขการประเมินพื้นฐาน เช่น สถานที่ อุปกรณ์ บุคคล คุณภาพยา บริการ อย่างน้อยต้องผ่าน 70% ในประเด็นที่มีความสำคัญ
"ประชาชนที่ไปใช้บริการรับยาที่ร้านยา สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพ แน่นอนว่า สวรส. จะสนับสนุนองค์ความรู้เรื่องมาตรการ แนวทางให้บริการรูปแบบใหม่ๆ กำกับติดตามและประเมินผล เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า เกิดประสิทธิผล ประสิทธิภาพและประชาชนมีความพึงพอใจในการรับบริการ ใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม ซึ่งนโยบายรับยาที่ร้านยากรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย ถ้าสามารถทำได้ครอบคลุม จะประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศเป็นอย่างมาก เกิดการยกระดับบริการประชาชน" นพ.ศุภกิจกล่าว