xs
xsm
sm
md
lg

วันเด็กสากล’66 สสส. เดินหน้าพัฒนานวัตกรรม-กลไกในชุมชน-นโยบาย คุ้มครองเด็กในครอบครัวเปราะบาง เน้นสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดภัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2566 ที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ พม. กรุงเทพมหานคร มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (ประเทศไทย) องค์การยูนิเซฟ และภาคีเครือข่าย จัดเวทีสานพลังเพื่อคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2 “สานพลังผู้ทำงานด้านการคุ้มครองและความปลอดภัยในเด็ก” นายเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า วันเด็กสากล (World Children Day) 20 พ.ย. และครบรอบ 31 ปี ที่ไทยเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป็นโอกาสดีที่ทุกฝ่ายจะได้ทบทวนและวางแผนการทำงานด้านเด็กและเยาวชน สำหรับ กทม. ได้ประกาศนโยบายส่งเสริมสิทธิเด็ก การคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัยรอบด้านของเด็ก ในเดือน พ.ย. 2565 เน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญและมีค่าที่สุดของกรุงเทพฯ ไม่ใช่ถนน หรือตึก แต่คือเด็กทุกคนที่ต้องมารับช่วงต่อดูแลเมืองนี้ กทม. จึงลงทุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้เด็กได้รับการคุ้มครอง ดูแลให้เติบโต พัฒนา มีพื้นที่แสดงศักยภาพ ความสามารถ ความคิดเห็น และมีส่วนร่วมกับ กทม. อย่างมีความหมาย

นายเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร
“กทม. ดำเนินการเรื่องนี้หลายประเด็น เช่น ผ่อนปรนเรื่องเครื่องแบบ ทรงผมให้นักเรียนโรงเรียนสังกัด กทม. ทำให้บรรยากาศการมาโรงเรียนดีขึ้น มีการศึกษาทรัพยากรและระบบ กลไกการช่วยเหลือคุ้มครองเด็กของ กทม. ให้ดีขึ้น รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ โครงการในสำนักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักพัฒนาสังคม สำนักอนามัย สำนักการแพทย์ สำนักการศึกษาและสำนักวัฒนธรรมฯ การขยายการทำงานคุ้มครองเด็กระดับชุมชนร่วมกับภาคีเครือข่ายไปยัง 21 ชุมชน ใน 11 เขต อีกส่วนหนึ่งคือการพัฒนานโยบายปกป้องเด็ก (Child Safeguarding Policy) จะประกาศใช้ใน 437 โรงเรียน และ 271 ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัย รวมทั้งสำนักที่เกี่ยวข้องภายในปี 2569 เป็นก้าวแรกที่จะทำให้เกิดกลไกการปกป้องคุ้มครองเด็กแบบบูรณาการ เป็นเอกภาพ ไร้รอยต่อ และวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้ทำงานด้านเด็ก มาร่วมกันออกแบบระบบการดูแลช่วยเหลือเด็กทั้งกระบวนการ” นายเฉลิมพล กล่าว


น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส. กล่าวว่า สสส. ขับเคลื่อนงานด้านคุ้มครองและความปลอดภัยในเด็ก 3 ระดับ 1. ทำพื้นที่ Sandbox ทดสอบนวัตกรรม พัฒนารูปแบบการทำงานในชุมชน เน้นครอบครัวเปราะบาง เช่น ในชุมชนแออัด พื้นที่ริมคลอง ใต้สะพาน พบปัญหาการเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการต่าง ๆ สร้างกลไกระดับชุมชน เพื่อเข้าถึงเด็กทุกบ้านรายบุคคล สร้างดิจิทัลแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” รองรับการทำงานของทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องแบบไร้รอยต่อ 2. ทำกลไกคณะทำงานร่วมกับส่วนงานต่าง ๆ ของ กทม. ส่วนราชการ และภาคีเครือข่าย โดยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมติดตามความก้าวหน้าการทำงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. ระดับนโยบาย มีคณะกรรมการพิจารณาขยายผลกลไก นวัตกรรมที่ผ่านการทดลอง ปีนี้ ตั้งเป้าขยายผลแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” นำร่องครบทั้ง 6 โซนของ กทม. โซนละ 1 เขต

“กทม. เป็นพื้นที่ท้าทาย เหมือนเต็มไปด้วยโอกาส แต่ผลสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบภาวะความอยู่ดีมีสุขของเด็ก กทม. ด้อยกว่าภูมิภาคหลายด้าน เช่น ไม่ได้รับวัคซีน มีฐานะยากจน มีบ้านที่ไม่มีหนังสือนิทาน หรือมีน้อยกว่า 3 เล่ม จำนวนมากกว่าต่างจังหวัด ได้เข้าศูนย์เด็กเล็กน้อยกว่า โภชนาการมีปัญหา ขณะเดียวกันแม้มีหน่วยงานระดับชาติ กระทรวง กรมต่าง ๆ อยู่ใน กทม. แต่ไม่มีความร่วมมือเป็นระบบ สสส. จึงเปิดเวทีสานพลังภาคส่วนต่าง ๆ เน้นกลยุทธ์การทำงานโดยไม่มีรอยต่อ งานนี้ เป็นเวทีใหญ่สุด หลังขับเคลื่อนการดำเนินงานมาเกือบ 2 ปี เพื่อรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอต่อการพัฒนา กลไกคุ้มครอง ช่วยเหลือ ส่งต่อ เด็ก ใน กทม. ไม่ให้มีเด็กหลุดจากระบบการช่วยเหลือ” น.ส.ณัฐยา กล่าว


นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน พม. กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อปี 2535 กรมกิจการเด็กและเยาวชน นำวิสัยทัศน์ด้านการคุ้มครองเด็กมาปรับใช้กำหนดนโยบาย หรือแผนปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานด้านการคุ้มครองเด็กที่เกี่ยวข้อง คือ 1. ยกร่างแผนปฏิบัติการด้านการคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2566 – 2570 มุ่งเตรียมความพร้อมและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเด็ก ครอบครัว และชุมชน ในด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม รวมถึงแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำจากรุ่นสู่รุ่น การคุ้มครองเด็กจากภัยออนไลน์ เป็นต้น 2. ส่งเสริมกลไกระดับท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งในการทำงานเชิงรุก เพื่อเฝ้าระวังและจัดการปัญหาด้านเด็กและเยาวชน โดยการคัดกรองและสำรวจเด็กที่มีความเสี่ยง ให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้า ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว

“กรมฯ ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองและความปลอดภัยในเด็กในกรุงเทพมหานคร ตระหนักว่า เด็กทุกคนไม่ว่าอยู่ในพื้นที่ใดต้องได้รับการดูแลปกป้องและคุ้มครอง กรุงเทพฯ เป็นสังคมที่มีความหลากหลาย ทั้งเชิงพื้นที่ เช่น ชุมชนก่อสร้าง ชุมชนใต้สะพาน การอพยพย้ายถิ่นจากต่างจังหวัดสู่เมือง แม้บริการที่มีอยู่จำนวนมาก แต่มีข้อจำกัดในการเชื่อมโยงระหว่างประชาชนและหน่วยงานระดับพื้นที่ รวมถึงโครงสร้างและระบบการช่วยเหลือ ส่งต่อมีความเฉพาะ เนื่องจากเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีประชากรจำนวนมากและมีความซับซ้อน ดังนั้น นอกจากต้องกำหนดแนวทางการทำงานและการให้ความช่วยเหลือเด็ก ต้องสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เครือข่ายในพื้นที่ และชุมชนเพื่อให้สามารถช่วยดูแลเด็กในชุมชน ป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ผ่านการสนับสนุนกลไกเดิมที่มีอยู่ เช่น อาสาสมัครศูนย์บริการสาธารณสุข (อสส.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในการคัดกรองเด็กและครอบครัว ประเมินความเสี่ยง เข้าถึงตัวเด็กก่อนเกิดปัญหารุนแรง ประสานส่งต่อบริการ และกำหนดหน่วยงานหลักทำหน้าที่สนับสนุนบริการและการกำกับติดตามด้วย” อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าว


น.ส.วรางคณา มุทุมล ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์และคุณภาพโครงการ มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัญหาเด็กในเมืองมีความซับซ้อน ครัวเรือนที่มีเด็กยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน รวมถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งครัวเรือนที่มีเด็กฟื้นตัวช้ากว่าประชากรกลุ่มอื่น มูลนิธิช่วยเหลือเด็กฯ เล็งเห็นความพยายามจาก กทม. และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรไม่แสวงผลกำไร ภาคธุรกิจ ในการสร้างนโยบายโรงเรียนปลอดภัย ขยายเครือข่ายการจัดระบบบริการแบบครบวงจร OSCC สำหรับเด็กและสตรีที่ได้รับความรุนแรง มูลนิธิฯ พร้อมเป็นแนวร่วมสำคัญของ กทม. ยึดหลักต่อยอดการทำงานให้ยั่งยืนและประสานทรัพยากรจากกลไกที่มีอยู่ 1. ส่งเสริมให้โรงเรียนมีนโยบายและระบบการคุ้มครองเด็ก ช่วยเหลือและจัดการความรุนแรงที่มีประสิทธิภาพ ทันท่วงที 2. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กผ่านกลไกสภาเด็กและเยาวชน และกลไกอื่นในกทม. ร่วมออกแบบเมืองที่เป็นมิตรและน่าอยู่สำหรับเด็ก 3. ส่งเสริมให้เด็กได้แสดงออกตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก อำนวยให้เกิดพื้นที่ที่ปลอดภัย เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพแสดงความเห็นในเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก เช่น สิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ความเสมอภาคทางเพศ สิทธิที่จะอาศัยและเข้าถึงทรัพยากร เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและปราศจากความรุนแรง






กำลังโหลดความคิดเห็น