ไทยติดกลุ่ม 23 ประเทศ ประชากรลด 50% ในอีก 70 กว่าปี “ชลน่าน” เร่งยกเครื่องคลินิกส่งเสริมมีบุตร-รักษามีบุตรยาก ทั้งรัฐและเอกชน ให้คำปรึกษา ตรวจรักษา ป้องกันปัญหาโครงสร้างประชากรวัยแรงงาน-เด็กลดฮวบ คาดเด็กไทยจะลดจาก 10 ล้านคน เหลือ 1 ล้านคน โหมแคมเปญ “Give Birth Great World”
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์เด็กเกิดน้อย ว่า เป็นปัญหาของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งจากข้อมูลระบุว่า หากไม่มีการแก้ไขหรือดำเนินการใด ๆ ภายในปี 2643 ค่าเฉลี่ยการมีบุตรของผู้หญิงทั่วโลกจะลดลงเหลือเพียง 1.7 คน ส่งผลให้ประชากรโลกจะปรับตัวถึงจุดสูงสุดที่ราว 9,700 ล้านคน ในปี 2607 ก่อนจะปรับตัวลดลงเหลือ 8,800 ล้านคนในปี 2643 และในอนาคตอันใกล้นี้ ไทยจะเป็นหนึ่งใน 23 ประเทศของโลกที่ได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าวมากที่สุด โดยอัตราการเจริญพันธุ์ของประเทศจะปรับลดลงถึงต่ำสุดและประชากรของประเทศจะเหลือเพียงแค่ 50% ของที่มีอยู่ในปัจจุบัน ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ญี่ปุ่น ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก่อนหน้านี้มาแล้วหลายปี สเปน อิตาลี เกาหลีใต้ ทั้งนี้ จำนวนประชากรที่ลดลงอย่างมากจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศอย่างใหญ่หลวงในอนาคตอันใกล้ได้ แม้แต่จีน ซึ่งเคยมีประชากรมากที่สุดในโลก ในปี 2565 ประชากรยังมีอัตราลดลงครั้งแรกในรอบ 60 ปี โดยล่าสุดอยู่ที่ 1,411 ล้านคน ทำให้จำนวนประชากรของจีนน้อยกว่าอินเดียเป็นครั้งแรก
นพ.ชลน่านกล่าวว่า สธ.ได้เร่งรัดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มประสิทธิภาพของคลินิกส่งเสริมการมีบุตรคุณภาพ เช่น คลินิกส่งเสริมการมีบุตรของกรมอนามัย 12 แห่งใน 12 ศูนย์อนามัยทั่วประเทศ ที่พร้อมให้คำปรึกษา, ศูนย์ส่งเสริมการมีบุตรและรักษาผู้มีบุตรยาก ทั่วประเทศ 107 แห่ง ใน 16 จังหวัด เป็นสถานพยาบาลรัฐ 16 แห่ง สถานพยาบาลเอกชน 91 แห่ง ที่มีการเตรียมความพร้อม 100% ในการรับมือกับปัญหาใหญ่ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ได้เตรียมจัดทำแคมเปญใหญ่ Give Birth Great World เป็นโครงการระดับประเทศและอาจเชิญชวนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้เข้าร่วม ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติของการเกิดเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ของโลก
“เมื่อจำนวนประชากรสูงอายุมีมากกว่าวัยหนุ่มสาวและเด็กที่เกิดใหม่ จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เชิงโครงสร้างประชากร เช่น ขาดแคลนวัยแรงงาน ประชากรสูงอายุในกลุ่มที่มีภาระพึ่งพิงจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น กลายเป็นยอดของปิรามิด ขณะที่ฐานปิรามิดประชากรแคบลงเรื่อยๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านประชากรของประเทศ ดังนั้น ปัญหาเด็กเกิดน้อยไม่ใช่แค่วาระแห่งชาติ แต่เป็นปัญหาของโลก ส่วนโครงสร้างประชากรไทย ขณะนี้เข้าสู่วัยผู้สูงอายุมากกว่า ร้อยละ 20 ขณะที่อัตราการเกิดใหม่น้อยมาก โดยอัตราเจริญพันธุ์รวมหรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยของผู้หญิง 1 คน ที่เหมาะสมหรือที่เรียกว่าระดับทดแทนคือ 2.1 คน แต่ปัจจุบันพบว่าจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยของผู้หญิงไทยลดลงเหลือเพียง 1.08 คนเท่านั้น จึงต้องเอาความคิดที่ว่าลูกมากจะยากจนออกไป โดยเฉพาะคนที่พื้นฐานการศึกษาที่ดี หรือกลุ่มคนที่มีฐานเศรษฐกิจรองรับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นพ.ชลน่านกล่าว
ด้าน พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ข้อมูลจากสถิติสาธารณสุขปี 2565 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงเหลือเพียง 485,085 คน เป็นจำนวนการเกิดที่ต่ำที่สุดและเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 500,000 คน สวนทางกับจำนวนผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปี 2565 มีประชากรผู้สูงอายุมากถึงกว่า 12 ล้านคน ทั้งนี้ ภายในปี 2626 หรือ 60 ปีจากนี้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ประชากรไทยจาก 66 ล้านคนจะลดเหลือเพียง 33 ล้านคน และประชากรสูงอายุ 65 ปีขึ้นไป จะเพิ่มจาก 8 ล้านคนเป็น 18 ล้านคน ส่งผลให้เกิดภาวะพึ่งพิงเพิ่มขึ้น งบประมาณในการรักษาสุขภาพเพิ่มขึ้น ส่วนวัยทำงาน อายุ 15-64 ปี จะลดลงจาก 46 ล้านคนเหลือเพียง 14 ล้านคน ซึ่งหมายถึงจำนวนแรงงานที่ลดลง ผลผลิตโดยรวมของประเทศลดลง และภาษีที่จัดเก็บได้ลดลง ขณะที่ประชากรวัยเด็กอายุตั้งแต่ 0 - 14 ปีจะลดจาก 10 ล้านคน เหลือเพียง 1 ล้านคน เท่านั้น