"หมอธีระวัฒน์" เข้าให้ข้อมูล คกก.สอบสวน ปมยุติความร่วมมือศึกษาส่งเชื้อไวรัสจากค้างคาวให้ต่างประเทศ และทำลายเชื้อทั้งหมด แจงมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อศึกษาเข้ามนุษย์ได้ดีหรือไม่ มองไม่มีประโยชน์ สุ่มเสี่ยงทำให้ระบาด พร้อมเอาหลักฐานให้กรรมการพิจารณา เผยยังมีหน่วยงานรับทุนศึกษาอยู่
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าให้การต่อคณะกรรมการสอบสวน กรณีที่ศูนย์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ ยุติการศึกษาเชื้อไวรัสจากค้างคาว โดยมีประชาชนเข้ามาให้กำลังใจกว่า 60 คน ว่า การสอบสวนไม่ได้ระบุว่ามีประเด็นใดบ้าง ซึ่งผิดปกติของการสอบสวน แต่เชื่อว่าการตั้งคณะกรรมการสอบเกิดจากการที่ศูนย์ฯ ซึ่งตนเป็น ผอ.ได้ประกาศยุติการศึกษาเชื้อไวรัสจากค้างคาวว่า มีแนวโน้มจะเข้าในมนุษย์ได้หรือไม่ โดยที่ผ่านมาได้เริ่มเข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2011 ผ่านความเห็นชอบจาก รพ.จุฬาฯ ซึ่งได้ทุนวิจัยจากองค์กรต่างประเทศ โดยตนถือเป็นผู้รับผิดชอบกรณีที่หากเกิดความผิดพลาด จนกระทั่งตัดสินใจยุติโครงการเมื่อปี 2020 และได้ทำรายงานแจ้งไปทางคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ รพ.จุฬาฯ เมื่อปี 2021 และแจ้งไปยังเครือข่ายขององค์การอนามัยโลก (WHO) จึงเชื่อมั่นว่ากระบวนการขั้นตอนการยุติการร่วมโครงการเป็นไปตามระเบียบ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องยุติการร่วมโครงการ ย้อนไปเมื่อปี 2019 มีการทาบทามจากองค์กรที่ชื่อว่า Ecohealth Alliance ที่ได้รับทุนมาจากสหรัฐอเมริกา องค์กรนี้ได้มาติดต่อเรา ว่าจะให้เราร่วมตั้งเป็นศูนย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเราต้องนำไวรัสที่เก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงไวรัสที่ต้องเก็บใหม่ ส่งไปยังต่างประเทศ เพื่อศึกษาว่าไวรัสสามารถเข้าในมนุษย์ได้หรือไม่ หรือทำให้เกิดโรคหรือไม่ ซึ่งหากการศึกษาเข้าได้ไม่ดีก็จะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพิ่มเพื่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่เราตัดสินใจทำลายตัวอย่างทั้งหมดในปี 2022 โดยจะต้องไม่กระทบกับตัวอย่างอื่นในการศึกษาวิจัยที่ไม่อันตราย เพราะเราไม่พบประโยชน์ในการคาดคะเนว่าเชื้อจะเข้ามนุษย์ได้หรือไม่ อีกประการคือ ความสุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อในขณะที่ลงพื้นที่นำเชื้อมาศึกษา รวมถึงการติดเชื้อในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นความกังวลว่าอาจจะมีการติดเชื้อในชุมชนและทั่วไปได้ ต่อมาเราก็ได้ทราบว่า รพ.จุฬาฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ก.ค.
"ต้องถามว่าการกระทำในลักษณะนี้เป็นการป้องกันอันตรายอย่างเข้มงวดไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศไทย เราไม่ต้องการให้มีการระบาดแบบอู่ฮั่น 2 ซึ่งขณะนี้พบความเชื่อมโยงวันเกิดโควิด 19 จากเครือข่ายเหล่านี้ โดยการให้ทุนของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ รวมถึงสถาบันวิจัยไวรัสในอู่ฮั่น และหลังจากที่ประเมินแล้ว โควิด 19 นั้นไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่หลักฐานทั้งหลายพุ่งตรงไปที่มีการตัดต่อพันธุกรรมและหลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการ เรื่องนี้ผมไม่ได้พูดเองแต่เป็นเรื่องของการสืบสวนจากสภาคองเกรส ซึ่งเป็นที่รับทราบในสื่อมวลชนทั้งหลาย ขณะเดียวกันก็มีการสอบสวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ซึ่งเป็นบุคคลที่ให้ทุนเรา" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว
ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวว่า หลังจากทำลายตัวอย่างเหล่านี้หมด ก็ยังมีการติดต่อมาขอตัวอย่าง ทำให้เราตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการเอาตัวอย่างไปศึกษาต่อ หรือส่งต่อไปต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตัดต่อพันธุกรรมหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วเกิดการระบาดในต่างประเทศ แล้วมีการสืบสวนมาว่าเชื้อนั้นมาจากประเทศไทย ก็จะทำให้ประเทศเราตกเป็นผู้ต้องหาและต้องรับผิดชอบต่อการเกิดโรคระบาดครั้งใหม่ ซึ่งการสอบสวนในวันนี้ตนจะเอาหลักฐานทั้งหมดให้กรรมการรับทราบและพิจารณาว่าต้องยุติความร่วมมือกับสถาบันต่างๆ เหล่านี้โดยเด็ดขาด
ถามว่ามีกี่หน่วยงานที่ยังมีความเกี่ยวข้องกับการศึกษาไวรัสในไทย ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวว่า อาจจะต้องถามทางคณบดีคณะแพทยศาสตร์ และ ผอ.รพ.จุฬาฯ ที่มีการเซ็นสัญญากับต่างประเทศ ซึ่งทุนการศึกษานี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ด้วย แม้ว่าไม่มีการประกาศว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรม แต่มีประเด็นซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ ซึ่งเราเรียกร้องให้ยุติโดยเด็ดขาด ส่วนกังวลหรือไม่ที่เปิดหน้าชน หากไม่เปิดหน้าชนก็เสื่อมเสียต่อชื่อเสียง ซึ่งตนได้ทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติ แม้กระทั่งในวัคซีนพิษสุนัขบ้าที่ฉีดรอบสะดือ คณะเราเป็นคนที่ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) เปลี่ยนการฉีดวัคซีนรอบสะดือ มาเป็นการใช้วัคซีนฉีดเข้าทางผิวหนังแทน
ถามว่ามีข่าวว่าจะมีการยุบศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวว่า เป็นเพียงการคาดการณ์จากผลของการสอบสวนวันนี้ ก็อาจจะนำไปสู่การยุบศูนย์ฯ เพื่อนำศูนย์ไปเป็นฐานปฏิบัติการในการเก็บไวรัส และการส่งออกนอกประเทศโดยผ่านหน่วยงานที่เป็นหน่วยงานทางการแพทย์และหน่วยงานทางการศึกษา