สธ.ประชุมชี้แจงทุกจังหวัด สั่งเฝ้าระวังฝุ่นพิษ หลังแนวโน้มสูงขึ้นจากเอลนีโญ สั่งปรับเกณฑ์เปิดศูนย์ฉุกเฉินจังหวัด เมื่อค่าฝุ่นเกิน 35 มคก./ลบ.ม. เกิน 3 วัน เฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม จัดเตรียมห้องปลอดฝุ่น เปิดคลินิกมลพิษ เตรียมระบบเทเลเมดิซีนรักษา เร่งสื่อสารประชาชนปรับกิจกรรม ช่วยลดฝุ่นละออง สวมหน้ากากป้องกัน
เมื่อวันที่ 26 ต.ค.นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังประชุมทางไกลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) และ ผอ.รพ.ทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปี 2567 ว่า สถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน รัฐบาลกำหนดให้เรื่องฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งบูรณาการแก้ไขปัญหา ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์เอลนีโญทำให้เกิดความแห้งแล้ง เสี่ยงเกิดไฟป่าทั้งในประเทศและนอกประเทศได้ง่าย และเป็นสาเหตุให้เกิดหมอกควันรุนแรงขึ้น การประชุมวันนี้จึงได้แจ้งให้หน่วยงานส่วนภูมิภาคเตรียมความพร้อมดูแลสุขภาพประชาชน พร้อมทั้งมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน ปี 2567 ใน 5 ประเด็น ได้แก่ 1.เพิ่ม 2 มาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณี หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก เรื่องการส่งเสริมการลดมลพิษ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ โดยเพิ่มมาตรการการเชิงป้องกัน SECA (Smart Energy and Climate Action)
2.ปรับเกณฑ์การเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้สอดคล้องกับค่ามาตรฐานและระดับเฝ้าระวังการแจ้งเตือนของประเทศ คือ เมื่อค่าฝุ่น PM 2.5 มากกว่า 37.5 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 3 วัน 3.เพิ่มการติดตามเฝ้าระวังการเจ็บป่วยจากข้อมูลเชิงรุกในชุมชน ห้องฉุกเฉิน และระบบฐานข้อมูล HDC ของกรมควบคุมโรค 4.เพิ่มเติมรายงานผลการถอดบทเรียนผลการดำเนินงาน และปรับช่วงระยะเวลาการรายงาน โดยระดับจังหวัด รายงานทุกวัน เวลา 12.00 น. และระดับส่วนกลาง รายงานทุกวัน เวลา 07.00 น. และ 5.สนับสนุนทรัพยากร ให้เขตสุขภาพและจังหวัดเตรียมสำรองหน้ากากป้องกันฝุ่นและเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังมีข้อสั่งการ 7 ข้อ ให้ผู้ตรวจราชการ สธ. ผอ.สำนักงานเขตสุขภาพ นพ.สสจ. ผอ.รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไปทุกแห่ง เตรียมการเฝ้าระวัง ดูแลและป้องกันผลกระทบสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ดังนี้ 1.เฝ้าระวังและแจ้งเตือนสถานการณ์ เร่งสื่อสารเชิงรุกสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนดูแลป้องกันสุขภาพ มีส่วนร่วมลดฝุ่นละอองผ่านทุกช่องทาง ทั้งสื่อบุคคล เสียงตามสาย สื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และช่องทางของหน่วยงาน 2.เตรียมพร้อมดูแลและป้องกัน ทั้งระบบบริการสาธารณสุข ระบบส่งต่อ และระบบเทเลเมดิซีน เปิดคลินิกมลพิษที่สถานพยาบาล คลินิกมลพิษออนไลน์และคลินิกมลพิษเคลื่อนที่ สนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล จัดเตรียมห้องปลอดฝุ่น ดูแลกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ป่วยติดเตียง โดยทีม 3 หมอ และสำรวจกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหืดและโรคหัวใจขาดเลือด เพื่อให้การดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ
3.เฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบผิวหนัง และระบบตา โดยรายงานผ่านระบบ HDC 4.หากค่า PM 2.5 เกินมาตรฐาน 37.5 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 3 วัน ให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ระดับจังหวัด รายงานสถานการณ์ทุกวัน และปิดศูนย์ฯ เมื่อค่าฝุ่นน้อยกว่า 37.5 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 6 วัน 6.จัดกิจกรรมองค์กรปลอดฝุ่นในสำนักงานและสถานบริการในสังกัด เพื่อเป็นต้นแบบ และ 7.สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ พ.ร.บ.การสาธารณสุข เป็นเครื่องมือสนับสนุนการลดฝุ่นละอองจากแหล่งกำเนิดในพื้นที่ และจัดการเหตุรำคาญจากฝุ่นละออง
"ขอแนะนำให้กลุ่มทำงานกลางแจ้ง เช่น คนงานก่อสร้าง งานจราจร พนักงานกวาดถนน ให้สวมหน้ากาก N95 สำหรับกลุ่มเสี่ยง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ กลุ่มที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคหัวใจ สวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นเมื่อออกนอกอาคาร และไม่แนะนำให้สวมหน้ากากทุกประเภทขณะออกกำลังกายกลางแจ้ง โดยประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 ได้ทางแอปพลิเคชั่น Air4Thai / Airbkk / Life Dee และดูแนวทางปฏิบัติตน ค้นหาห้องปลอดฝุ่นและคลินิกมลพิษ รวมทั้งปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ได้ทาง Line Official 4Health หรือแอปพลิเคชัน DMS Telemedicine หรือเว็บไซต์ https://podfoon.anamai.moph.go.th/" นพ.สุรโชคกล่าว