ปลัดแรงงานเผย 15 คนไทยรับเงินเยียวยาตามสิทธิ 1.5 หมื่นบาททุกคน เหตุเป็นสมาชิกกองทุน เตรียมส่งข้อมูลให้ทุกจังหวัด ช่วยญาติตรวจสอบรายชื่อแรงงานที่บาดเจ็บหรือติดต่อไม่ได้ ถูกจับเป็นตัวประกัน ยันไม่มีการซื้อขายแรงงานไทยที่อิสราเอล ชี้เป็นการเปลี่ยนนายจ้างใหม่ ย้ำหากนายจ้างไม่พร้อมดูแลความปลอดภัย จะไม่ส่งลูกจ้างไปอีก
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่อาคารศูนย์กักกัน (Quarantine Center) สถาบันบำราศนราดูร นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังต้อนรับคนไทย 15 คนที่เดินทางกลับจากอิสราเอล ว่า สำหรับการมอบเงินเยียวยาตามกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนทำงานต่างประเทศ หนีภัยสงครามจำนวน 1.5 หมื่นบาท จะมอบให้แก่แรงงานไทยทุกคนที่เป็นสมาชิกกองทุน ซึ่งทั้ง 15 คนเป็นสมาชิกกองทุนทั้งหมด แต่หากมีพิการหรือทุพพลภาพจะได้รับการดูแล 3 หมื่นบาท ถ้าเสียชีวิตจะให้ญาติ 4 หมื่นบาท และค่าจัดงานศพไม่เกิน 4 หมื่นบาท ส่วนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกฯ จะประสานทางอิสราเอลมีเงินช่วยเหลือกรณีบาดเจ็บ ถ้าแผลไม่ถึง 10% ก็จะไม่ได้ ถ้า 10-19% จะได้ประมาณ 1.45 ล้านบาท ถ้าเกิน 20% จะได้เงินดูแลตลอดชีวิตประมาณ 3 หมื่นกว่าบาทต่อเดือน โดยกองทุนประกันสังคมอิสราเอลดูแล
ถามว่า ยังต้องมีส่วนไหนที่ต้องเยียวยาดูแลอีกบ้าง นายไพโรจน์กล่าวว่า ถ้าเป็นก้อนอื่น ก็จะเป็นเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล นอกจากนี้ ยังประสานสุขภาพจิตเพื่อดูแลจิตใจแรงงานให้ดีขึ้น และมอบหน่วยงานสังกัดแรงงานทั่วประเทศตั้งวอร์รูม เพื่อให้ญาติพี่น้องแรงงานตรวจสอบรายชื่อผู้รับบาดเจ็บหรือถูกจับเป็นตัวประกันด้วย เพื่อให้ชัดเจนเรื่องข้อมูลเราส่งให้แรงงานจังหวัดทั่วประเทศสามารถตรวจสอบได้
ถามว่า ทั้ง 15 คนนี้ มีรายงานที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างหรือไม่ นายไพโรจน์กล่าวว่า เท่าที่สอบถามได้รับค่าจ้างทั้งหมดแล้ว บางคนบอกว่าไม่กลับไปแล้ว จะไปหาประเทศอื่น สภาพจิตใจที่เจอเหตุการณ์ครั้งนี้รับไม่ได้ อยากทำงานต่างประเทศ แต่ขอเป็นประเทศอื่น ถามต่อถึงกรณีแรงงานที่อิสราเอลเจอปัญหานายจ้างไม่จ่ายค่าจ้าง นายไพโรจน์กล่าวว่า ให้ทูตแรงงานที่อิสราเอลไปประสาน สามารถแจ้งสำนักงานแรงงานที่อิสราเอลไ เราจะติดตามข้อมูลต่อไป หากมีข้อมูลก็แจ้งมาที่กระทรวงแรงงานได้
ถามว่า มีรายงานข้อมูลแรงงานที่ยังไม่อพยพจากพื้นที่ไม่ปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน นายไพโรจน์กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน แต่คาดว่าทางทูตไทยที่อิสราเอลและทูตแรงงานพยายามจะขอข้อมูล เพราะยังไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ตอนนี้มีแจ้งว่าช่วยเหลือออกมาประมาณพันคนแล้ว ส่วนกรณีการเคลื่อนย้ายโดยนั่งเรือหรือรถไปยังจอร์แดน ตามที่นายกฯ สั่ง จะมีการหารือวันนี้แล้วจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ถามถึงกรณีกระแสว่า มีการค้ามนุษย์กลุ่มแรงงานไทยในอิสราเอล นายไพโรจน์กล่าวว่า จริงๆ เป็นการเปลี่ยนนายจ้างตามกฎหมายของอิสราเอล ซึ่งนายจ้างเก่าสามารถนลูกจ่างไปเปลี่ยนนายจ้างใหม่ได้ เนื่องจากนายจ้างเก่าอาจไม่มีสภาพที่ให้ทำงานได้ เช่น สวนองุ่น สวนสตรอว์เบอร์รีโดนระเบิดทำลาย ก็เอาลูกจ้างไปให้นายจ้างใหม่ ไม่เคยมีการเอาแรงงานไปขาย จริงๆ ไม่ใช่การขายแรงงาน เป็นการเปลี่ยนนายจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องเป็นความยืนยอมพร้อมใจของลูกจ้างด้วย
"หากลูกจ้างไม่พอใจสภาพการทำงานใหม่ก็สามารถเปลี่ยนใจไม่ทำงานได้ แรงงานตัดสินใจเป็นประเด็นสำคัญ เรื่องซื้อขายแรงงานไม่เคยมีมาก่อน ส่วนมีข่าวว่าจ่ายเงินให้คนพาไปก็เป็นการค่าน้ำใจให้ค่ารถโดยสารนำมาส่งให้นายจ้างใหม่ น่าจะเป็นประเด็นนี้มากกว่า ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ ประเด็นซื้อขายแรงงานไม่มีแน่นอน ต้องใช้คำพูดใหม่ เป็นการเปลี่ยนนายจ้างตามกฎหมายอิสราเอลด้วย ส่วนมีการเปลี่ยนนายจ้างมากน้อยแค่ไหนยังไม่ได้รับรายงาน เพราะทูตแรงงานไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ มีการสู้รบกันอยู่" นายไพโรจน์กล่าว
ถามถึงกรณีแรงงานในอิสราเอลสามารถขอกลับได้เลยหรือไม่ นายไพโรจน์กล่าวว่า แรงงานที่ไม่มีความพร้อมจะทำงานต่อ แจ้งความประสงค์สถานทูตไทยในอิสราเอลขอกลับได้เลย ตอนนี้แจ้งกลับ 5 พันกว่าคนแล้ว ส่วนการเจรจาให้กลับเข้าไปทำงานใหม่ที่อิสราเอลได้นั้น ได้รับรายงานจากสถานทูตอิสราเอลเมื่อเช้าว่ายินดีรับแรงงานไทยกลับไปทำงานใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คอนแท็กสัญญาที่ดำเนินการอยู่เราให้กลับไปคอนแท็กเดิมได้เลย แต่แรงงานหลายคนกลัวว่าเจอสภาพแบบนี้อาจไม่มีความพร้อมกลับไปก็ต้องหาประเทศอื่น เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน แคนาดา หรือออสเตรเลีย
ถามว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจของแรงงานไทยในอิสราเอลประมาณเท่าไร นายไพโรจน์กล่าวว่า เงินเดือนแรงงานอยู่ที่ 5-5.5 หมื่นบาทต่อเดือน ถือว่ารายได้ที่สูง เทียบกับเกาหลีก็ไม่แตกต่างกัน ซึ่งเหตุผลที่บางคนไม่อยากกลับมาเพราะค่าจ้างสูง บางคนไป 4-5 เดือนยังไม่สามารถใช้หนี้ที่ไปกู้ก่อนเดินทางไปต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่า ก่อนที่แรงงานไทยจะเดินทางไปอิสราเอลมีการอบรมให้ความรู้ชี้แจงข้อกฎหมายแนวทางปฏิบัติเรื่องสัญญาจ้าง ประกันสังคม สภาพความเป้นอยู่ และภาวะสงครามที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ในการหลบภัยหรือไปที่นายจ้างจัดเตรียมไว้ เราแจ้งให้ทราบตลอด หากไม่แจ้งแล้วลูกจ้างไปเจอจะไม่สามารถเตรียมตัวไปสถานที่นายจ้างจัดเตรียมไว้ได้ ซึ่งต่อไปกระทรวงแรงงานต้องพิจารณาว่าการส่งแรงงานไปอิสราเอลความพร้อมเรื่องนี้สำคัญมาก และดูความพร้อมนายจ้างด้วย หากไม่พร้อมจะไม่ส่ง